แม้จะไม่ได้เข้าไปเคลื่อนไหวในส่วนของพรรคการเมืองโดยตรง แค่อยู่ในสังคมของชาวพันธมิตรก็ได้ยินการพูดถึงการประชุมพรรคและการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคกันหนาหูขึ้น
แต่ละกลุ่ม แต่ละภาคส่วนที่รวมกลุ่มกันในพื้นที่ต่างก็อยากจะมีตัวแทนนั่งเก้าอี้ดังกล่าวแต่ดูเหมือนว่าเก้าอี้คงจะมีจำกัด
หลายคนยังหลับตานึกไม่ออกเลยว่าบทบาทหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคที่ประชาชนคัดสรรเข้าไปนั้นต้องทำอะไร ต้องรับผิดชอบแบบไหน และที่สำคัญเป็นภาระที่หนักหน่วงพอสมควรสำหรับงานบุกเบิกที่ไม่มีตัวแบบให้เห็นจับต้องได้ เพราะพรรคมวลชน (แปลว่าพรรคที่มีฐานมาจากมวลชนจำนวนมาก) ในประเทศไทยไม่มี ที่มีอยู่คือพรรคนายทุนตั้งดังนั้นการเลือกสรรตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงยังไม่สามารถเอามาเป็นตัวแบบเทียบเคียงได้
ในเมื่อเป็นเรื่องใหม่ เรื่องที่ต้องบุกเบิกถางทางไปข้างหน้า..จินตนาการจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการพยายามค้นหาคำตอบว่าในป่าใหญ่มีอะไรรอคอยอยู่ !
คุณลักษณะของพรรคมวลชน (Mass Party) ชื่อมันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า เกิดจากการรวมตัวของประชาชนที่เห็นพ้องและอยากเห็นการเมืองในแนวทางเดียวกัน แต่นั่นเองใช่ว่าการเห็นพ้องในเป้าหมายใหญ่อย่างเดียวจะก่อให้เกิดพลังที่แข็งแกร่งโดยปราศจากอุปสรรคไปเสียทีเดียว
แค่วอร์มอัพจัดเวทีคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง เราได้เห็นร่องรอยว่ามีความไม่เห็นพ้องทับซ้อนกันอยู่ในแต่ละกลุ่มเครือข่าย
หัวใจที่จะทำให้พรรคการเมืองใหม่เข้มแข็งได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชนที่เริ่มจากกลุ่มในพื้นที่มาเป็นเครือข่าย
กรรมการบริหารพรรคที่อยู่กรุงเทพฯ หรือที่เป็นตัวแทนภาคไม่เพียงพอต่อการทำหน้าที่หนักหน่วงดังกล่าวหรอกครับ มีแต่กรรมการบริหารที่มาจากกลุ่มและเครือข่ายซึ่งได้รับการคัดเลือกยอมรับจากคนหมู่มากเท่านั้นที่จะแบกรับภาระหนักอึ้งดังกล่าวไว้
แค่หลับตานึกภาพก็ยากไม่ใช่เล่น
การถูกคาดหวังว่าเป็นคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับเพื่อประสานความร่วมมือสร้างองค์กรเครือข่ายที่เข้มแข็งเป็นเรื่องท้าทายมาก เพราะต้องยอมรับว่าการเมืองไม่ว่าใหม่หรือเก่าย่อมมีความเห็นแตกต่างอยู่เสมอ
แตกต่างยังไม่พอ ธรรมชาติของหมู่คนอาจจะถึงขั้นไม่ยอมรับฝ่ายที่ต่างออกไปจะด้วยมุมมองหรือพฤติกรรมก็ตามที
พูดง่าย ๆ คือทะเลาะเหยียบตาปลากันนั่นแหละครับ
ในหมู่พันธมิตรใช่ว่าจะมีคนที่ดีมาก ๆ ขนาดทำใจอโหสิไปทุกเรื่อง ดังนั้นแรงเสียดทาน แรงคาดหวังประสาแม่ยก(พ่อยก)ใจร้อน จะประดังประเดเข้ามาที่ตัวแทนพื้นที่ซึ่งได้รับเลือก
ต้องยอมรับว่านี่คือพรรคการเมือง ดังนั้นเราจะได้เริ่มเห็นคนหน้าใหม่ ๆ อยากจะมีบทบาทในองค์กรพรรคมากขึ้นกว่าการเป็นอาสาสมัครพันธมิตร เพราะต้องยอมรับว่าแรงจูงใจทางการเมืองมีน้ำหนักมากแม้เราจะประกาศว่าคนที่อาสามาทำงานพรรคการเมืองใหม่ไม่เหมือนกับพรรคการเมืองอื่น
ที่อื่นเข้ามาเพื่อจะเอา แต่พรรคการเมืองใหม่อาสาเข้ามาให้ !
เราต้องยอมรับว่ามีคนที่แฝงเข้ามาเพื่อจะเอาก็มีเช่นเดียวกันซึ่งเรื่องดังกล่าวต้องใช้ระบบและระยะเวลาสร้างวัฒนธรรมการคัดสรรอยู่ร่วมในองค์กรระยะหนึ่ง
ซึ่งระหว่างนี้กรรมการบริหารจากการเลือกตั้งนี่แหละที่จะเผชิญกับปัญหาหลากหลายเหล่านี้ในระดับพื้นที่
เลิกคิดเถอะครับว่า เมื่อมีความเห็นแย้ง หรือทะเลาะกันแล้วส่งไปให้ส่วนกลางตัดสิน เหมือนกับกรณีคอนเสิร์ตการเมืองที่เคยเกิด
หากต้องการให้พรรคการเมืองจากมวลชนเข้มแข็งจริง มีแต่สมาชิกและประชาชนในพื้นที่ต้องหาวิธีการจัดการกับปัญหาดังกล่าวด้วยตัวเอง เพราะถ้าคิดแต่จะส่งเข้าส่วนกลางตัดสินไปซะทั้งหมดก็ไปสมัครพรรคนายทุนตั้งไม่ดีกว่าเหรอ มีอะไรก็ส่งให้หลงจู๊ หรือ ให้นายใหญ่เจ้าของพรรคที่ดูไบทุบโต๊ะก็จบ
ดังนั้นการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ โดยเฉพาะในส่วนที่ประชาชนสมาชิกเสนอและลงคะแนนเลือกกันเองนั้นมีความหมายสูงมากเพราะเป็นหมุดหมายของการเริ่มกันสร้างการเมืองแบบใหม่ให้เราหลุดพ้นจากการเมืองแบบเก่า ๆ เสียที
...........
พูดเรื่องการเมืองใหม่แล้ว อดไม่ได้ต้องขออนุญาตท่านผู้อ่านพูดเรื่องการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ ผมขอยอมรับความผิดพลาดโดยดีที่มองแต่ภาพสวยงาม เห็นป้ายหาเสียงของผู้สมัครส่วนใหญ่พูดเรื่องนโยบาย แม้จะขายฝันไปบ้างแต่ก็พยายามชูนโยบายเพื่อเป็นคำมั่นสัญญาให้กับประชาชน
แต่เมื่อเห็นผลแล้ว ประหลาดใจมากที่เบอร์ซึ่งแทบไม่มีการพูดเรื่องนโยบายเลยกลับได้รับเลือกคะแนนนำโด่ง
สรุปได้ว่านาทีนี้คนส่วนใหญ่ในเทศบาลนครเชียงใหม่ไม่สนนโยบาย ยังให้น้ำหนักกับสีมากกว่าเรื่องอื่นใด
เรื่องที่ผิดหวังเรื่องต่อมาคือบทบาทของเพื่อนสื่อมวลชนที่บางกลุ่มไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมา มีคดีจับซื้อเสียงที่คนรู้กันทั้งเมืองแต่ไม่ส่งข่าวเข้าส่วนกลาง มีเพียงไม่กี่ฉบับเท่านั้นที่รายงานเข้าไป
เขาบอกกันว่า มีการปิดข่าวด้วยประโยชน์แลกเปลี่ยนบางประการเท็จจริงเจ้าตัวรู้อยู่แก่ใจ...จริงอยู่แต่ละคนต่างมีเบอร์ที่เชียร์ถือท้ายไว้ แต่สำหรับการทำหน้าที่เมื่อมีเหตุสำคัญก็ต้องรายงานไปตามอาชีวปฏิญาณ ลองไปตรวจดูเถอะครับว่าฉบับไหนบ้างที่ทำหรือไม่ทำหน้าที่
และสุดท้ายที่น่าเจ็บปวดมากคือเรื่องการซื้อเสียงที่กระหึ่มไปทั้งเมือง ซื้อกันหลายเบอร์ด้วยไม่ใช่เบอร์หรือสองเบอร์
ความเจ็บปวดคือเด็กนักเรียนประถมได้ยินได้เห็นการซื้อเสียงแล้วเอามาเล่าสู่กันที่โรงเรียน..น่าตกใจเด็กหลายคนมองเป็นเรื่องปกติ
กลับมาบ้านลูกสาวเล่าว่าวันนี้เพื่อนเล่าว่าเบอร์นี้มาซื้อที่บ้านให้พันบาท วันต่อมาเขาก็เล่าว่าป้าหลังบ้านคุณยายถูกเบอร์นี้มาซื้อไปแล้วใครให้เท่าไหร่เด็กรู้หมด ต้องพยายามชี้แจงอธิบายให้เข้าใจและปลูกฝังให้ฟังว่านี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง
ถามไปยังผู้ปกครองที่รับเงินซื้อเสียงมาพูดกันในบ้านให้เด็กได้ยิน รู้ไหมว่าพวกท่านได้ยื่นยาพิษให้กับเด็กของท่านไปแล้ว
นึกในใจ พวกเขาไม่รักสงสารลูกหลานของเขาที่กำลังเติบโตขึ้นมาเลยหรือไง ?
แต่ละกลุ่ม แต่ละภาคส่วนที่รวมกลุ่มกันในพื้นที่ต่างก็อยากจะมีตัวแทนนั่งเก้าอี้ดังกล่าวแต่ดูเหมือนว่าเก้าอี้คงจะมีจำกัด
หลายคนยังหลับตานึกไม่ออกเลยว่าบทบาทหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคที่ประชาชนคัดสรรเข้าไปนั้นต้องทำอะไร ต้องรับผิดชอบแบบไหน และที่สำคัญเป็นภาระที่หนักหน่วงพอสมควรสำหรับงานบุกเบิกที่ไม่มีตัวแบบให้เห็นจับต้องได้ เพราะพรรคมวลชน (แปลว่าพรรคที่มีฐานมาจากมวลชนจำนวนมาก) ในประเทศไทยไม่มี ที่มีอยู่คือพรรคนายทุนตั้งดังนั้นการเลือกสรรตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงยังไม่สามารถเอามาเป็นตัวแบบเทียบเคียงได้
ในเมื่อเป็นเรื่องใหม่ เรื่องที่ต้องบุกเบิกถางทางไปข้างหน้า..จินตนาการจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการพยายามค้นหาคำตอบว่าในป่าใหญ่มีอะไรรอคอยอยู่ !
คุณลักษณะของพรรคมวลชน (Mass Party) ชื่อมันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า เกิดจากการรวมตัวของประชาชนที่เห็นพ้องและอยากเห็นการเมืองในแนวทางเดียวกัน แต่นั่นเองใช่ว่าการเห็นพ้องในเป้าหมายใหญ่อย่างเดียวจะก่อให้เกิดพลังที่แข็งแกร่งโดยปราศจากอุปสรรคไปเสียทีเดียว
แค่วอร์มอัพจัดเวทีคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง เราได้เห็นร่องรอยว่ามีความไม่เห็นพ้องทับซ้อนกันอยู่ในแต่ละกลุ่มเครือข่าย
หัวใจที่จะทำให้พรรคการเมืองใหม่เข้มแข็งได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชนที่เริ่มจากกลุ่มในพื้นที่มาเป็นเครือข่าย
กรรมการบริหารพรรคที่อยู่กรุงเทพฯ หรือที่เป็นตัวแทนภาคไม่เพียงพอต่อการทำหน้าที่หนักหน่วงดังกล่าวหรอกครับ มีแต่กรรมการบริหารที่มาจากกลุ่มและเครือข่ายซึ่งได้รับการคัดเลือกยอมรับจากคนหมู่มากเท่านั้นที่จะแบกรับภาระหนักอึ้งดังกล่าวไว้
แค่หลับตานึกภาพก็ยากไม่ใช่เล่น
การถูกคาดหวังว่าเป็นคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับเพื่อประสานความร่วมมือสร้างองค์กรเครือข่ายที่เข้มแข็งเป็นเรื่องท้าทายมาก เพราะต้องยอมรับว่าการเมืองไม่ว่าใหม่หรือเก่าย่อมมีความเห็นแตกต่างอยู่เสมอ
แตกต่างยังไม่พอ ธรรมชาติของหมู่คนอาจจะถึงขั้นไม่ยอมรับฝ่ายที่ต่างออกไปจะด้วยมุมมองหรือพฤติกรรมก็ตามที
พูดง่าย ๆ คือทะเลาะเหยียบตาปลากันนั่นแหละครับ
ในหมู่พันธมิตรใช่ว่าจะมีคนที่ดีมาก ๆ ขนาดทำใจอโหสิไปทุกเรื่อง ดังนั้นแรงเสียดทาน แรงคาดหวังประสาแม่ยก(พ่อยก)ใจร้อน จะประดังประเดเข้ามาที่ตัวแทนพื้นที่ซึ่งได้รับเลือก
ต้องยอมรับว่านี่คือพรรคการเมือง ดังนั้นเราจะได้เริ่มเห็นคนหน้าใหม่ ๆ อยากจะมีบทบาทในองค์กรพรรคมากขึ้นกว่าการเป็นอาสาสมัครพันธมิตร เพราะต้องยอมรับว่าแรงจูงใจทางการเมืองมีน้ำหนักมากแม้เราจะประกาศว่าคนที่อาสามาทำงานพรรคการเมืองใหม่ไม่เหมือนกับพรรคการเมืองอื่น
ที่อื่นเข้ามาเพื่อจะเอา แต่พรรคการเมืองใหม่อาสาเข้ามาให้ !
เราต้องยอมรับว่ามีคนที่แฝงเข้ามาเพื่อจะเอาก็มีเช่นเดียวกันซึ่งเรื่องดังกล่าวต้องใช้ระบบและระยะเวลาสร้างวัฒนธรรมการคัดสรรอยู่ร่วมในองค์กรระยะหนึ่ง
ซึ่งระหว่างนี้กรรมการบริหารจากการเลือกตั้งนี่แหละที่จะเผชิญกับปัญหาหลากหลายเหล่านี้ในระดับพื้นที่
เลิกคิดเถอะครับว่า เมื่อมีความเห็นแย้ง หรือทะเลาะกันแล้วส่งไปให้ส่วนกลางตัดสิน เหมือนกับกรณีคอนเสิร์ตการเมืองที่เคยเกิด
หากต้องการให้พรรคการเมืองจากมวลชนเข้มแข็งจริง มีแต่สมาชิกและประชาชนในพื้นที่ต้องหาวิธีการจัดการกับปัญหาดังกล่าวด้วยตัวเอง เพราะถ้าคิดแต่จะส่งเข้าส่วนกลางตัดสินไปซะทั้งหมดก็ไปสมัครพรรคนายทุนตั้งไม่ดีกว่าเหรอ มีอะไรก็ส่งให้หลงจู๊ หรือ ให้นายใหญ่เจ้าของพรรคที่ดูไบทุบโต๊ะก็จบ
ดังนั้นการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ โดยเฉพาะในส่วนที่ประชาชนสมาชิกเสนอและลงคะแนนเลือกกันเองนั้นมีความหมายสูงมากเพราะเป็นหมุดหมายของการเริ่มกันสร้างการเมืองแบบใหม่ให้เราหลุดพ้นจากการเมืองแบบเก่า ๆ เสียที
...........
พูดเรื่องการเมืองใหม่แล้ว อดไม่ได้ต้องขออนุญาตท่านผู้อ่านพูดเรื่องการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ ผมขอยอมรับความผิดพลาดโดยดีที่มองแต่ภาพสวยงาม เห็นป้ายหาเสียงของผู้สมัครส่วนใหญ่พูดเรื่องนโยบาย แม้จะขายฝันไปบ้างแต่ก็พยายามชูนโยบายเพื่อเป็นคำมั่นสัญญาให้กับประชาชน
แต่เมื่อเห็นผลแล้ว ประหลาดใจมากที่เบอร์ซึ่งแทบไม่มีการพูดเรื่องนโยบายเลยกลับได้รับเลือกคะแนนนำโด่ง
สรุปได้ว่านาทีนี้คนส่วนใหญ่ในเทศบาลนครเชียงใหม่ไม่สนนโยบาย ยังให้น้ำหนักกับสีมากกว่าเรื่องอื่นใด
เรื่องที่ผิดหวังเรื่องต่อมาคือบทบาทของเพื่อนสื่อมวลชนที่บางกลุ่มไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างตรงไปตรงมา มีคดีจับซื้อเสียงที่คนรู้กันทั้งเมืองแต่ไม่ส่งข่าวเข้าส่วนกลาง มีเพียงไม่กี่ฉบับเท่านั้นที่รายงานเข้าไป
เขาบอกกันว่า มีการปิดข่าวด้วยประโยชน์แลกเปลี่ยนบางประการเท็จจริงเจ้าตัวรู้อยู่แก่ใจ...จริงอยู่แต่ละคนต่างมีเบอร์ที่เชียร์ถือท้ายไว้ แต่สำหรับการทำหน้าที่เมื่อมีเหตุสำคัญก็ต้องรายงานไปตามอาชีวปฏิญาณ ลองไปตรวจดูเถอะครับว่าฉบับไหนบ้างที่ทำหรือไม่ทำหน้าที่
และสุดท้ายที่น่าเจ็บปวดมากคือเรื่องการซื้อเสียงที่กระหึ่มไปทั้งเมือง ซื้อกันหลายเบอร์ด้วยไม่ใช่เบอร์หรือสองเบอร์
ความเจ็บปวดคือเด็กนักเรียนประถมได้ยินได้เห็นการซื้อเสียงแล้วเอามาเล่าสู่กันที่โรงเรียน..น่าตกใจเด็กหลายคนมองเป็นเรื่องปกติ
กลับมาบ้านลูกสาวเล่าว่าวันนี้เพื่อนเล่าว่าเบอร์นี้มาซื้อที่บ้านให้พันบาท วันต่อมาเขาก็เล่าว่าป้าหลังบ้านคุณยายถูกเบอร์นี้มาซื้อไปแล้วใครให้เท่าไหร่เด็กรู้หมด ต้องพยายามชี้แจงอธิบายให้เข้าใจและปลูกฝังให้ฟังว่านี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง
ถามไปยังผู้ปกครองที่รับเงินซื้อเสียงมาพูดกันในบ้านให้เด็กได้ยิน รู้ไหมว่าพวกท่านได้ยื่นยาพิษให้กับเด็กของท่านไปแล้ว
นึกในใจ พวกเขาไม่รักสงสารลูกหลานของเขาที่กำลังเติบโตขึ้นมาเลยหรือไง ?