ถึงคราวต้องเขียนถึง กบข.บ้างแล้วครับ
ก่อนอื่นต้องบอกผู้อ่านเสียก่อน มิฉะนั้นจะไม่เป็นธรรมที่ต้องอ่านข้อเขียนที่อาจเห็นว่า
มันไม่ค่อยเป็นกลาง
เรื่องคือผมรู้จักคน กบข.หลายคน
ตั้งแต่ผู้บริหารคุณวิสิฐ นั่นเลย เขาจบการศึกษาที่สหรัฐฯ รุ่นไล่กันมาจากวิสคอนซิลนะ
ครับ แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก
แต่ก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน มีทัศนะดีต่อกัน และผมเชื่อมือเขา
แน่ๆ คือ คนๆ นี้ไม่เป็นคนคดโกงใคร นิสัยเป็นเช่นนี้มานานแล้ว
ผู้บริหารรองลงมาก็เป็นคนทำงานทีมเดียวกันกับพระบาทมาก่อน เป็น PR. ฝีมือดี เก่ง ขยัน และในบรรดาพีอาร์ที่ว่าแน่ๆ ผู้บริหารกบข. เบอร์ 2 นี่เธอเป็นผู้หญิง (ที่สวยมาก) มีผลงานดี ริเริ่ม ลูกน้องก็ดีด้วยทุกคน ทีมของเธอผมรู้จักทุกคน กินข้าวกันปีละครั้ง
ดังนั้นสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไป ย่อมมีคติในใจที่ดีแน่
ลูกเมียผมรับราชการและอยู่ในระบบ กบข. แม้ว่าเงินที่ได้รับของเมียผมไม่ได้ตามที่กบข.คำนวณว่าจะได้ เนื่องจากราคาหุ้นที่ กบข.ไปลงทุน มันตกตามราคาตลาด
ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องซวยช่วยไม่ได้ และไม่เคยต่อว่า
เวลานี้ กบข.โดนสอบ คุณวิสิฐก็โดนข้อหาว่ามีเงื่อนงำในการไปซื้อหุ้น 2-3 ตัว โดยอาจมีความผิดเพราะลักษณะการซื้อขายมัน “ตัดหน้า” หรือขายแบบ “ดักหลัง” ก็มี
และ กบข.นั้นมีจรรยาบรรณ ว่าพนักงานจะซื้อขายหลักทรัพย์ของตัวเองไม่ได้ครับ ประเด็นนี้ผมไม่คิดว่าหุ้นที่พัวพันนั้น คุณวิสิฐไม่น่าจะมี
ดีนะที่คุณกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังจะให้ความเป็นธรรม และจะดูหลักฐาน หาข้อมูลให้ชัดเจนก่อน
และจะให้เกิดความโปร่งใสในการทำงานมากขึ้น
ทาง กลต.เองมีความเห็นว่า ถ้าจะมีการทำผิดก็คงเป็นการผิดในระเบียบปฏิบัติหรือฝ่าฝืนข้อห้ามภายในองค์กรเอง เช่น ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม และเอาเปรียบนักลงทุนในตลาด
กลต.ระบุว่าความจริงแล้วไม่ได้ดูหรือกำกับ กบข.แต่ กบข.ก็อยู่ได้ กลต.ในฐานะเป็นนักลงทุนด้วย ทำผิดในบ้าน กลต.ไม่เข้าไปยุ่งและยังไม่มีผู้ร้องเรียน
สำหรับผลดำเนินการในรอบ 5 เดือน กบข.แถลงว่ามีกำไร 9,000 แปดร้อยล้านบาท และ กบข.ปรับกลยุทธแบบต่อเนื่องให้สอดรับกับภาวะผูกพันของเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ เช่น การปรับพอร์ตการลงทุน ทำให้ผลตอบแทนได้รับดีขึ้น มากขึ้น ทั้งนี้ดีมาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้วจนถึงทุกวันนี้
ครับผมเห็นว่า แม้ว่า กบข.จะได้รับแรงกดดัน แต่การที่มีการทำงานที่ยังคงเข้มแข็ง แสดงว่าสปิริตการทำงานหรือขวัญกำลังของพนักงานโดยรวมก็ยังดี ยังคงทำงานอย่างเข้มแข็ง เรื่องนี้ควรชมพนักงาน รวมทั้งคุณพิสิฐและฝ่ายบริหาร
การลงทุนของ กบข.ในปัจจุบันเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ไทยอยู่ร้อยละ 74.6 ตราสารหนี้โลกร้อยละ 47 ตราสารหุ้นไทยร้อยละ 7.3 และตราสารหุ้นโลกร้อยละ 5.8 นิติบุคคลเอกชนในประเทศร้อยละ 3.5 และอสังหาริมทรัพย์ไทยร้อยละ 4.1
ถือว่ากระจายและมีสัดส่วนการลงทุนออกไปเท่าที่สามารถจะทำได้
ผลตอบแทนการลงทุนถึงสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2552 และย้อนหลังไป 12 ปี (2540-2552) ตกเฉลี่ยได้ 6.80 เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 ปี ที่เฉลี่ยแค่ 1.63
ผลตอบแทน กบข.ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 3.07 เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 5 ปี เฉลี่ยที่ร้อยละ 1.27 เท่านั้น
ครับ... ผมว่าไหนๆ จะสอบ กบข.แล้ว ควรเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด และปรับโครงสร้างให้กะทัดรัด (ความจริงพนักงาน กบข.มีไม่มากนัก) ให้เกิดความคล่องตัว
อีกทั้งควรให้มีที่ปรึกษาเข้าไปดูการบริหารพอร์ตด้วยว่าดีแล้วหรือยัง ควรให้ข้อแนะนำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของสมาชิกให้มากที่สุดด้วย
มีแค่นี้แหละครับ... นี่เป็นครั้งแรกที่พระบาทเขียนเรื่องกบข.และคงเป็นครั้งเดียวเท่านั้น
ก่อนอื่นต้องบอกผู้อ่านเสียก่อน มิฉะนั้นจะไม่เป็นธรรมที่ต้องอ่านข้อเขียนที่อาจเห็นว่า
มันไม่ค่อยเป็นกลาง
เรื่องคือผมรู้จักคน กบข.หลายคน
ตั้งแต่ผู้บริหารคุณวิสิฐ นั่นเลย เขาจบการศึกษาที่สหรัฐฯ รุ่นไล่กันมาจากวิสคอนซิลนะ
ครับ แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก
แต่ก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน มีทัศนะดีต่อกัน และผมเชื่อมือเขา
แน่ๆ คือ คนๆ นี้ไม่เป็นคนคดโกงใคร นิสัยเป็นเช่นนี้มานานแล้ว
ผู้บริหารรองลงมาก็เป็นคนทำงานทีมเดียวกันกับพระบาทมาก่อน เป็น PR. ฝีมือดี เก่ง ขยัน และในบรรดาพีอาร์ที่ว่าแน่ๆ ผู้บริหารกบข. เบอร์ 2 นี่เธอเป็นผู้หญิง (ที่สวยมาก) มีผลงานดี ริเริ่ม ลูกน้องก็ดีด้วยทุกคน ทีมของเธอผมรู้จักทุกคน กินข้าวกันปีละครั้ง
ดังนั้นสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไป ย่อมมีคติในใจที่ดีแน่
ลูกเมียผมรับราชการและอยู่ในระบบ กบข. แม้ว่าเงินที่ได้รับของเมียผมไม่ได้ตามที่กบข.คำนวณว่าจะได้ เนื่องจากราคาหุ้นที่ กบข.ไปลงทุน มันตกตามราคาตลาด
ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องซวยช่วยไม่ได้ และไม่เคยต่อว่า
เวลานี้ กบข.โดนสอบ คุณวิสิฐก็โดนข้อหาว่ามีเงื่อนงำในการไปซื้อหุ้น 2-3 ตัว โดยอาจมีความผิดเพราะลักษณะการซื้อขายมัน “ตัดหน้า” หรือขายแบบ “ดักหลัง” ก็มี
และ กบข.นั้นมีจรรยาบรรณ ว่าพนักงานจะซื้อขายหลักทรัพย์ของตัวเองไม่ได้ครับ ประเด็นนี้ผมไม่คิดว่าหุ้นที่พัวพันนั้น คุณวิสิฐไม่น่าจะมี
ดีนะที่คุณกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังจะให้ความเป็นธรรม และจะดูหลักฐาน หาข้อมูลให้ชัดเจนก่อน
และจะให้เกิดความโปร่งใสในการทำงานมากขึ้น
ทาง กลต.เองมีความเห็นว่า ถ้าจะมีการทำผิดก็คงเป็นการผิดในระเบียบปฏิบัติหรือฝ่าฝืนข้อห้ามภายในองค์กรเอง เช่น ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม และเอาเปรียบนักลงทุนในตลาด
กลต.ระบุว่าความจริงแล้วไม่ได้ดูหรือกำกับ กบข.แต่ กบข.ก็อยู่ได้ กลต.ในฐานะเป็นนักลงทุนด้วย ทำผิดในบ้าน กลต.ไม่เข้าไปยุ่งและยังไม่มีผู้ร้องเรียน
สำหรับผลดำเนินการในรอบ 5 เดือน กบข.แถลงว่ามีกำไร 9,000 แปดร้อยล้านบาท และ กบข.ปรับกลยุทธแบบต่อเนื่องให้สอดรับกับภาวะผูกพันของเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ เช่น การปรับพอร์ตการลงทุน ทำให้ผลตอบแทนได้รับดีขึ้น มากขึ้น ทั้งนี้ดีมาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้วจนถึงทุกวันนี้
ครับผมเห็นว่า แม้ว่า กบข.จะได้รับแรงกดดัน แต่การที่มีการทำงานที่ยังคงเข้มแข็ง แสดงว่าสปิริตการทำงานหรือขวัญกำลังของพนักงานโดยรวมก็ยังดี ยังคงทำงานอย่างเข้มแข็ง เรื่องนี้ควรชมพนักงาน รวมทั้งคุณพิสิฐและฝ่ายบริหาร
การลงทุนของ กบข.ในปัจจุบันเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ไทยอยู่ร้อยละ 74.6 ตราสารหนี้โลกร้อยละ 47 ตราสารหุ้นไทยร้อยละ 7.3 และตราสารหุ้นโลกร้อยละ 5.8 นิติบุคคลเอกชนในประเทศร้อยละ 3.5 และอสังหาริมทรัพย์ไทยร้อยละ 4.1
ถือว่ากระจายและมีสัดส่วนการลงทุนออกไปเท่าที่สามารถจะทำได้
ผลตอบแทนการลงทุนถึงสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2552 และย้อนหลังไป 12 ปี (2540-2552) ตกเฉลี่ยได้ 6.80 เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 ปี ที่เฉลี่ยแค่ 1.63
ผลตอบแทน กบข.ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 3.07 เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 5 ปี เฉลี่ยที่ร้อยละ 1.27 เท่านั้น
ครับ... ผมว่าไหนๆ จะสอบ กบข.แล้ว ควรเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด และปรับโครงสร้างให้กะทัดรัด (ความจริงพนักงาน กบข.มีไม่มากนัก) ให้เกิดความคล่องตัว
อีกทั้งควรให้มีที่ปรึกษาเข้าไปดูการบริหารพอร์ตด้วยว่าดีแล้วหรือยัง ควรให้ข้อแนะนำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของสมาชิกให้มากที่สุดด้วย
มีแค่นี้แหละครับ... นี่เป็นครั้งแรกที่พระบาทเขียนเรื่องกบข.และคงเป็นครั้งเดียวเท่านั้น