ทักษิณ ชินวัตร กับขบวนการคนเสื้อแดงเสียมวยกันหมดทั้งค่ายพลาดซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ
บนถนนก็แพ้มาในสภาก็พ่ายอีก !!
อันที่จริงก่อนที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะชิงขอเปิดประชุมรัฐสภาตามมาตรา 179 มีความพยายามของพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวขอเสียง ส.ว. ขอเปิดประชุมร่วม กะว่าจะอาศัยรัฐสภาขยี้รัฐบาลในช่วงที่อุณหภูมิของสถานการณ์ยังกรุ่นอยู่
ว่ากันตามตรง - ก่อนหน้าการอภิปรายแทบไม่มีใครฝากความหวังไว้กับรัฐสภาเหมือนกับที่แกนนำพันธมิตรฯพูดว่า ‘ก็แค่ย้ายความขัดแย้งข้างนอกไปอยู่ในห้องประชุม’ซึ่งก็จะหาทางออกไม่ได้เช่นเคย
นั่นเพราะว่าสังคมคุ้นชินกับสภาที่ใช้น้ำลายมาละเลงสาดกันแบบโต้วาที ถ้าสบโอกาสหลอกด่ากัน ประท้วงทุกจังหวะที่มีโอกาส ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อเอาชนะในเรื่องเหลวไหลแค่ หลัง ๆ มาตรฐานเตี้ยลงอีกเมื่อมีส.ส.นักเลงไล่เตะคนโดยเพื่อนส.ส.ผู้ทรงถ่อยทั้งหลายก็โอบอุ้มไว้ รวมถึงล่าสุดมีถ่อยอีกตัวหนึ่งที่แจกของลับในสภาแล้วเพื่อน ๆ ของมันก็ยังโอบอุ้มตามเคย
นี่จึงเป็นที่มาของการที่สังคมไม่คาดหวังกับสภาไร้สาระ (ที่พวกเขาบอกว่าเป็นสภาอันทรงเกียรติ) แห่งนี้ !
นายกฯ อภิสิทธิ์วางยุทธศาสตร์ในสภาได้ดีด้วยการกำชับไม่ให้มีการตอบโต้ หรืออภิปรายแบบโต้วาทีอันจะนำไปสู่การประท้วงอย่างไร้สาระ แม้จะมีบ้างที่มีสมาชิกหลุดจากกรอบไปบ้างแต่โดยรวมคนของฝ่ายรัฐบาลพยายามจะไม่แกว่งปากไปปะทะด้วย
ขณะที่รัฐบาลก็พยายามใช้ข้อเท็จจริงแต่ละช็อตมาอธิบายอย่างอดทน ถึงจะลุกขึ้นชี้แจงถี่ไปหน่อยแต่ภาพรวมคือยังไม่ปะทะ
ยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้าน หวังจะฉวยโอกาสใช้การถ่ายทอดสดเพื่อตีคืนเอาคะแนนที่เสียไปบนท้องถนนด้วยการพยายามชี้ให้สังคมเชื่อให้ได้ว่า “มีคนตายจริง” และ “รัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ” อันจะนำไปสู่โอกาสของการพลิกคืนกลับมาได้เปรียบทางการเมือง
ถ้ายืนอยู่กับข้อเท็จจริงไม่มีเรื่องอะไรยากหรอก ... แต่บังเอิญที่ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนยังใช้มาตรฐานงี่เง่าของสภาฯยุคเก่า เน้นไปที่วาทะแรง ๆ เน้นไปที่การอ้างหลักฐานคลุมเครือแบบเดิม ๆ หนำซ้ำยังเอาเรื่องโกหกมากล่าวในสภา
ฝ่ายค้านไม่มีข้อมูลที่เป็นหมัดเด็ดจริง ก่อนนี้ก็เสียฟอร์มไปมากโดยเฉพาะการกุข่าวทหารเอาศพไปเผาที่วัดแถวลาดพร้าวแสดงให้เห็นชัดว่าทีมงานที่ทำงานเรื่องนี้หละหลวม รีบโทรฯแจ้งนักข่าวตั้งแต่เช้าวันที่ 16 เม.ย.ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายตนได้ยินมาเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น แล้วก็ยังมีวีซีดี.ทหารลากประชาชนที่ถูกจับผิดทันควันว่าคนที่ถูกลากยังมีชีวิต
พอมาถึงสภาการพยายามใช้วาทะ ใช้ภาพถ่ายประกอบการอภิปรายแบบเดิม ๆ เพื่อจะโน้มน้าวสังคมให้เชื่อตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ว่า “มีคนตายจริง” และ “รัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ” โดยไม่พูดเลยว่า “เสื้อแดงทำเกินกว่าเหตุ”อย่างไรด้วย บางคนยังมาบิดกันด้าน ๆ โบ้ยโยนบาปให้เสื้อแดงเทียมไปอีก
ส.ส.ฝ่ายค้านจึงเป็นตัวแทนของการพยายามปัดความรับผิดชอบของฝ่ายเสื้อแดง โดยมุ่งจะกล่าวหาให้รัฐบาลเป็นฝ่ายรับผิดชอบเหตุการณ์ทั้งหมด
เกมในสภาฝ่ายค้านเป็นฝ่ายระดมยิงใส่ ส่วนรัฐบาลไม่ให้ส.ส.ตอบโต้ คนที่จะโต้ได้คือรัฐมนตรี แทนที่ฝ่ายระยิงใส่จะได้เปรียบกลับพลาดเป้า ยิงนกตกปลา ไร้น้ำหนัก แถมปล่อยให้ส.ส.ไร้คุณภาพชกแบบเปิดหน้า เปิดช่องให้โต้.... ซึ่งทุกครั้งที่รัฐบาลสวนกลับแบบ Counter Attack ทีไรก็ออกอาการทุกครั้งไป
คงไม่ต้องเอ่ยชื่อส.ส.ที่แสดงความงี่เง่าชกแบบทะเล่อทะล่าเปิดหน้าเอาความเท็จมากล่าวกับประชาชน คนเหล่านี้เสียสุนัขอย่างเจ็บแสบเพราะถูกจับผิดทันควันไปแล้ว
สังคมไทยวันนี้ก้าวหน้ามากกว่าที่นักการเมืองหลายคนคิด การพ่ายแพ้บนท้องถนนของเสื้อแดง เป็นผลมาจากสังคมไทยได้เรียนรู้ในช่วง 3-4 ปีนี้ว่าแบบไหนคือการชุมนุมโดยสงบ-ปราศจากอาวุธจริง ก่อนนี้พอพูดเรื่องการชุมนุมปั๊บสังคมจะนึกเชื่อมโยงกับความไม่สงบและอันตรายขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์ว่าหากฝ่ายรัฐไม่มีปฏิบัติการที่รุนแรงก่อนทุกอย่างจะไม่มีปัญหา เมื่อมีจลาจลนอกกรอบขึ้นมาสังคมจึงได้ให้ฉันทานุมัติสลายการชุมนุมดังกล่าวโดยพร้อมเพรียง
สังคมไทยวันนี้ก้าวหน้ากว่านักการเมืองไปหลายช่วง แต่ยังคงมีนักการเมืองงี่เง่าที่เข้าใจว่าวาทกรรมดุดัน เท็จครึ่งจริงครึ่งแบบดาวสภายุคน้าเหลิม ลุงหมักเป็นตัวแบบของความสำเร็จ
จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นอภิปรายยาวเพื่อจะโบ้ยความรับผิดชอบของการก่อจลาจลทั้งหมดให้กับแดงเทียม มาสวมรอยสร้างสถานการณ์ แล้วก็ตอกย้ำยืนยันว่ารัฐบาลได้ใช้ความรุนแรง ยืนยันมีคนตายอย่างแน่นอนเป็นหลักหลายสิบศพ
จตุพร จึงเป็นตัวแทนของแกนนำคนเสื้อแดงที่กล่าวกับประชาชนทั้งประเทศผ่านการถ่ายทอดสด ปฏิเสธความรับผิดชอบใดของเหตุการณ์จลาจลที่คนเสื้อแดงก่อขึ้น
ความผิดทุกอย่างจตุพรโบ้ยให้เสื้อแดงเทียมที่สวมรอยมาสร้างสถานการณ์ทั้งสิ้น
ในวันนั้นจตุพร ได้แสดงถึงความเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่สูงส่ง เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ทนไม่ได้กับการปราบการชุมนุมคนไทยคนชีวิต ฟังเผิน ๆ แล้วน่าเชื่อตามนั้น
ทั้ง ๆ ที่เมื่อปี 2551 จตุพรคนนี้ยุสมัคร สุนทรเวช ให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมของพันธมิตร ฯ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มชุมนุมได้ไม่ถึงสัปดาห์และอยู่ในกรอบอย่างเต็มที่
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2546 ตอนที่ จตุพร เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของรัฐมนตรีประพัฒน์ นายคนนี้เป็นคนร่วมบัญชาการนำตำรวจ ป่าไม้ อ.ส.ร่วม 2,000 คนไปสลายการชุมนุมของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจนภาคใต้ ที่สุราษฎร์ฯ แบบถึงเลือดถึงเนื้อ
จตุพรรู้มั้ย – ถ้ารัฐบาลใช้มาตรฐานเดียวกับการสลายม็อบสวนปาล์มป่านนี้คงมีคนกระอักเลือดตายกลางกรุงหลายสิบคน
ด้วยเหตุนี้ คนจึงไม่เชื่อจตุพร
และด้วยเหตุนี้ คนจึงไม่ให้น้ำหนักกับฝ่ายค้าน
พวกคุณแพ้บนถนนแล้วยังมาแพ้ในสภาอีก – รู้ตัวกันหรือเปล่า?
บนถนนก็แพ้มาในสภาก็พ่ายอีก !!
อันที่จริงก่อนที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะชิงขอเปิดประชุมรัฐสภาตามมาตรา 179 มีความพยายามของพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวขอเสียง ส.ว. ขอเปิดประชุมร่วม กะว่าจะอาศัยรัฐสภาขยี้รัฐบาลในช่วงที่อุณหภูมิของสถานการณ์ยังกรุ่นอยู่
ว่ากันตามตรง - ก่อนหน้าการอภิปรายแทบไม่มีใครฝากความหวังไว้กับรัฐสภาเหมือนกับที่แกนนำพันธมิตรฯพูดว่า ‘ก็แค่ย้ายความขัดแย้งข้างนอกไปอยู่ในห้องประชุม’ซึ่งก็จะหาทางออกไม่ได้เช่นเคย
นั่นเพราะว่าสังคมคุ้นชินกับสภาที่ใช้น้ำลายมาละเลงสาดกันแบบโต้วาที ถ้าสบโอกาสหลอกด่ากัน ประท้วงทุกจังหวะที่มีโอกาส ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อเอาชนะในเรื่องเหลวไหลแค่ หลัง ๆ มาตรฐานเตี้ยลงอีกเมื่อมีส.ส.นักเลงไล่เตะคนโดยเพื่อนส.ส.ผู้ทรงถ่อยทั้งหลายก็โอบอุ้มไว้ รวมถึงล่าสุดมีถ่อยอีกตัวหนึ่งที่แจกของลับในสภาแล้วเพื่อน ๆ ของมันก็ยังโอบอุ้มตามเคย
นี่จึงเป็นที่มาของการที่สังคมไม่คาดหวังกับสภาไร้สาระ (ที่พวกเขาบอกว่าเป็นสภาอันทรงเกียรติ) แห่งนี้ !
นายกฯ อภิสิทธิ์วางยุทธศาสตร์ในสภาได้ดีด้วยการกำชับไม่ให้มีการตอบโต้ หรืออภิปรายแบบโต้วาทีอันจะนำไปสู่การประท้วงอย่างไร้สาระ แม้จะมีบ้างที่มีสมาชิกหลุดจากกรอบไปบ้างแต่โดยรวมคนของฝ่ายรัฐบาลพยายามจะไม่แกว่งปากไปปะทะด้วย
ขณะที่รัฐบาลก็พยายามใช้ข้อเท็จจริงแต่ละช็อตมาอธิบายอย่างอดทน ถึงจะลุกขึ้นชี้แจงถี่ไปหน่อยแต่ภาพรวมคือยังไม่ปะทะ
ยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้าน หวังจะฉวยโอกาสใช้การถ่ายทอดสดเพื่อตีคืนเอาคะแนนที่เสียไปบนท้องถนนด้วยการพยายามชี้ให้สังคมเชื่อให้ได้ว่า “มีคนตายจริง” และ “รัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ” อันจะนำไปสู่โอกาสของการพลิกคืนกลับมาได้เปรียบทางการเมือง
ถ้ายืนอยู่กับข้อเท็จจริงไม่มีเรื่องอะไรยากหรอก ... แต่บังเอิญที่ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนยังใช้มาตรฐานงี่เง่าของสภาฯยุคเก่า เน้นไปที่วาทะแรง ๆ เน้นไปที่การอ้างหลักฐานคลุมเครือแบบเดิม ๆ หนำซ้ำยังเอาเรื่องโกหกมากล่าวในสภา
ฝ่ายค้านไม่มีข้อมูลที่เป็นหมัดเด็ดจริง ก่อนนี้ก็เสียฟอร์มไปมากโดยเฉพาะการกุข่าวทหารเอาศพไปเผาที่วัดแถวลาดพร้าวแสดงให้เห็นชัดว่าทีมงานที่ทำงานเรื่องนี้หละหลวม รีบโทรฯแจ้งนักข่าวตั้งแต่เช้าวันที่ 16 เม.ย.ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายตนได้ยินมาเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น แล้วก็ยังมีวีซีดี.ทหารลากประชาชนที่ถูกจับผิดทันควันว่าคนที่ถูกลากยังมีชีวิต
พอมาถึงสภาการพยายามใช้วาทะ ใช้ภาพถ่ายประกอบการอภิปรายแบบเดิม ๆ เพื่อจะโน้มน้าวสังคมให้เชื่อตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ว่า “มีคนตายจริง” และ “รัฐบาลทำเกินกว่าเหตุ” โดยไม่พูดเลยว่า “เสื้อแดงทำเกินกว่าเหตุ”อย่างไรด้วย บางคนยังมาบิดกันด้าน ๆ โบ้ยโยนบาปให้เสื้อแดงเทียมไปอีก
ส.ส.ฝ่ายค้านจึงเป็นตัวแทนของการพยายามปัดความรับผิดชอบของฝ่ายเสื้อแดง โดยมุ่งจะกล่าวหาให้รัฐบาลเป็นฝ่ายรับผิดชอบเหตุการณ์ทั้งหมด
เกมในสภาฝ่ายค้านเป็นฝ่ายระดมยิงใส่ ส่วนรัฐบาลไม่ให้ส.ส.ตอบโต้ คนที่จะโต้ได้คือรัฐมนตรี แทนที่ฝ่ายระยิงใส่จะได้เปรียบกลับพลาดเป้า ยิงนกตกปลา ไร้น้ำหนัก แถมปล่อยให้ส.ส.ไร้คุณภาพชกแบบเปิดหน้า เปิดช่องให้โต้.... ซึ่งทุกครั้งที่รัฐบาลสวนกลับแบบ Counter Attack ทีไรก็ออกอาการทุกครั้งไป
คงไม่ต้องเอ่ยชื่อส.ส.ที่แสดงความงี่เง่าชกแบบทะเล่อทะล่าเปิดหน้าเอาความเท็จมากล่าวกับประชาชน คนเหล่านี้เสียสุนัขอย่างเจ็บแสบเพราะถูกจับผิดทันควันไปแล้ว
สังคมไทยวันนี้ก้าวหน้ามากกว่าที่นักการเมืองหลายคนคิด การพ่ายแพ้บนท้องถนนของเสื้อแดง เป็นผลมาจากสังคมไทยได้เรียนรู้ในช่วง 3-4 ปีนี้ว่าแบบไหนคือการชุมนุมโดยสงบ-ปราศจากอาวุธจริง ก่อนนี้พอพูดเรื่องการชุมนุมปั๊บสังคมจะนึกเชื่อมโยงกับความไม่สงบและอันตรายขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์ว่าหากฝ่ายรัฐไม่มีปฏิบัติการที่รุนแรงก่อนทุกอย่างจะไม่มีปัญหา เมื่อมีจลาจลนอกกรอบขึ้นมาสังคมจึงได้ให้ฉันทานุมัติสลายการชุมนุมดังกล่าวโดยพร้อมเพรียง
สังคมไทยวันนี้ก้าวหน้ากว่านักการเมืองไปหลายช่วง แต่ยังคงมีนักการเมืองงี่เง่าที่เข้าใจว่าวาทกรรมดุดัน เท็จครึ่งจริงครึ่งแบบดาวสภายุคน้าเหลิม ลุงหมักเป็นตัวแบบของความสำเร็จ
จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นอภิปรายยาวเพื่อจะโบ้ยความรับผิดชอบของการก่อจลาจลทั้งหมดให้กับแดงเทียม มาสวมรอยสร้างสถานการณ์ แล้วก็ตอกย้ำยืนยันว่ารัฐบาลได้ใช้ความรุนแรง ยืนยันมีคนตายอย่างแน่นอนเป็นหลักหลายสิบศพ
จตุพร จึงเป็นตัวแทนของแกนนำคนเสื้อแดงที่กล่าวกับประชาชนทั้งประเทศผ่านการถ่ายทอดสด ปฏิเสธความรับผิดชอบใดของเหตุการณ์จลาจลที่คนเสื้อแดงก่อขึ้น
ความผิดทุกอย่างจตุพรโบ้ยให้เสื้อแดงเทียมที่สวมรอยมาสร้างสถานการณ์ทั้งสิ้น
ในวันนั้นจตุพร ได้แสดงถึงความเป็นนักสิทธิมนุษยชนที่สูงส่ง เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ทนไม่ได้กับการปราบการชุมนุมคนไทยคนชีวิต ฟังเผิน ๆ แล้วน่าเชื่อตามนั้น
ทั้ง ๆ ที่เมื่อปี 2551 จตุพรคนนี้ยุสมัคร สุนทรเวช ให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมของพันธมิตร ฯ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มชุมนุมได้ไม่ถึงสัปดาห์และอยู่ในกรอบอย่างเต็มที่
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2546 ตอนที่ จตุพร เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของรัฐมนตรีประพัฒน์ นายคนนี้เป็นคนร่วมบัญชาการนำตำรวจ ป่าไม้ อ.ส.ร่วม 2,000 คนไปสลายการชุมนุมของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจนภาคใต้ ที่สุราษฎร์ฯ แบบถึงเลือดถึงเนื้อ
จตุพรรู้มั้ย – ถ้ารัฐบาลใช้มาตรฐานเดียวกับการสลายม็อบสวนปาล์มป่านนี้คงมีคนกระอักเลือดตายกลางกรุงหลายสิบคน
ด้วยเหตุนี้ คนจึงไม่เชื่อจตุพร
และด้วยเหตุนี้ คนจึงไม่ให้น้ำหนักกับฝ่ายค้าน
พวกคุณแพ้บนถนนแล้วยังมาแพ้ในสภาอีก – รู้ตัวกันหรือเปล่า?