เช้าวันนี้...จิบกาแฟแล้ว มานั่งดูบัตร ส.ค.ส. และนึกทบทวนว่า ยังไม่ได้ส่งความสุขให้ใครบ้าง เพราะล่วงปีใหม่เข้ามาหลายวันแล้ว
นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้กล่าวคำว่า “สวัสดีปีใหม่” กับคู่หูเก่า เลยโทรไปหา แต่ก่อนที่เขาจะรับสาย ต้องรับฟังเพลงที่ตั้งเป็นเสียงสัญญาณเรียกเข้าก่อน ซึ่งเป็นเพลง “เอลวิส เพรสลี่” ของยอดนักร้องร๊อคแอนด์โรล จากเมืองเมมฟิส เทนเนสซี่
หลังจากพูดจาไต่ถามทุกข์สุขกัน ก็ได้ทราบว่าเพื่อนอยู่เย็นเป็นสุข กิจกรรมต่างน้อยลง เพราะไม่ได้รับราชการแล้ว ไปช่วยภริยาขายเพชรพลอย อยู่ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ทำหน้าที่เป็น รปภ.ให้ร้านอย่างเข้มแข็ง หมดงานก็กลับบ้านก็เลี้ยงหลาน
นับว่าเพื่อนผมคนนี้ มีความสุขดีสำหรับการเป็นผู้สูงวัย โชคดีที่มีครอบครัวดี และที่สำคัญคือสุขภาพเขาก็ไม่ได้เสื่อมโทรม เพราะไม่มีโรคประจำตัว นอกจากผมหลุดร่วงไปบ้างตามวัย
เคราะห์ดีที่เพื่อนได้ยาดี มาใส่บำรุงอวัยวะส่วนที่มีไว้สวมหมวก เลยไม่กลายเป็นตาเฒ่าหัวขาวโพลน จนไปไหนมาไหน ผู้คนเขาจะนึกว่าตัวโกงหนังบู๊ลิ้ม เรื่อง “ จอมมาร-กบาลขาว ” หลุดจากจอเงิน มาเดินเอ้อระเหย
ปล่อยแสงเฮ้ากวง หรือขวัางเกี้ยมซุกเสน่ห์ ใส่พวกสาวๆตามศูนย์การค้า ให้วุ่นวาย!
ยาของเขาคงดีจริงๆ เพราะนอกจากเส้นผมจะขึ้น ยังดกดำงามเกินวัยอีกด้วย!!
พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท เพื่อนของผมคนนี้ ไม่ได้เกิดที่เมือง เมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ เหมือนเอลวิส เพรสลีย์ แต่เกิดกลางทุ่งมหาราชอันกว้างใหญ่ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งครอบคลุมหลายตำบล รวมทั้งบางปะหัน อำเภอบ้านเกิดของเขาด้วย
เดินลัดทุ่งไปอีกหน่อยก็ถึง “ท่าตอ” บ้านของพระเอกตลอดกาล “สรพงศ์ ชาตรี”
นอกจากเป็นนักสืบมือดีเพื่อนผมคนนี้ ยังรักความเป็น “ศิลปิน” อย่างเข้ากระดูกดำ เคยเป็นพระเอกหนัง ประกบกับคุณน้าสรพงศ์ในหนังดังเรื่อง
“หนึ่งกับหนึ่ง...ฉึ่งแหลก”
หลังจากนั้น เพื่อนก้าวไกลไปถึงการเป็นศิลปินร๊อคแอนด์โรล โดยฝึกหัดร้องเพลง และเลียนแบบเอลวิส เพรสลีย์ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงสังคม หากมีงานเกี่ยวกับการรำลึกถึงยอดนักร้องจากเมมฟิส และมีบรรดาเอลวิสเมืองไทยจะไปร่วมชุมนุมกัน
เอลวิสฟรอมบางปะหันคนนี้ จะต้องสวมชุดเก่ง ที่ตัดร้านเดียวกับราชาร๊อคของโลก ราคาเป็นแสน ไปร่วมกิจกรรมอย่างไม่เคยขาด
เคยเขียนถึงเพื่อน ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอน ๑๑๓ “เป็น เอลวิส-ลูกทุ่ง ถ้าไม่รุ่ง จะมุ่ง วุฒิฯ” ยังเล่าถึงการที่เขาอยากเป็นนักเขียน จึงให้เจ้าตัวลองเขียนดู และได้นำข้อเขียนของเขามาลงเอาไว้ ดังนี้
ผมได้รับการแนะนำจาก “วาทตะวัน สุพรรณเภษัช” เพื่อนรักของผมให้ลองเขียนหนังสือ เพราะชีวิตผ่านประสบการณ์มามาก ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เพื่อนผมแนะว่าลองขยับประวัติตัวเองดูก่อน จึงเป็นที่มาของหัวข้อเรื่องข้างต้น
ผมเกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา...
อยากให้ท่านผู้อ่านลองคลิกเข้าไปอ่าน เพราะผมตั้งโจทก์เอาไว้ว่า ให้เพื่อนเขียนว่าตัวเองได้มีบุญเห็นพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกเมื่อไหร่?
เขาลงท้ายข้อเขียน ได้ดีทีเดียว!
เอลวิส บางปะหันเพื่อนของผม เป็นผู้ก่อตั้ง “สมาคมพลังแผ่นดิน ต้านภัยยาเสพติด กรุงเทพมหานคร” ที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือทางราชการ ในการต่อต้านการแพร่ขยายของยาเสพติด ด้วยสำนึกว่า
เป็นปัญหาสำคัญของชาติ ยิ่งกว่าการก่อการร้ายภาคใต้ด้วยซ้ำ
เรื่องยานรก เป็นปัญหาใหญ่ ทำลายเยาวชนคนของชาติขนาดหนักอยู่ขณะนี้ โดยรัฐบาลสากกระเบือของนายพลสุรยุทธ์ฯ ไม่เคยเอาใจใส่ดูแล กลับดันตั้งกรรมการมาสอบหาว่า
เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนในการฆ่าฟัน พวกยาเสพติดมากมายเพียงไร?
พูดตรงไปตรงมาว่า กะจะ “ฉะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจให้เต็มที่ ว่ากันตรงๆอย่างนั้นเถอะ แต่รัฐบาลเสียเงินทองไปมากมายหลายสิบล้านบาท จนบัดนี้ก็หาตัวคนทำผิดไม่ได้ว่า
ใครกันที่เป็นผู้ฆ่าตัดตอน คนหรือหมากันแน่?
เห็นบ้านเมือง “เพี้ยน” อย่างนี้ ผมอดรนทนไม่ได้ จึงออกหนังสือ "โกหกบันลือโลก ฆ่าตัดตอน 2.500 ศพ" วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง ของรัฐบาลโลซกชุดนี้กับพวกทหาร ที่เสือกเข้ามายึดอำนาจในบ้านเมือง แล้วตั้งนายพลสุรยุทธ์ฯ ขึ้นมาเป็น “ผู้นำหุ่น” ลากประเทศที่น่าสงสารของเรา ไปในสภาพถูลู่ถูกัง เป็นที่เวทนาแก่บรรดามิตรประเทศต่างๆ โดยทั่วกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในหนังสือเล่มดังกล่าว ผมชำแหละยับเยินถึงเรื่องการยอม “อ่อนข้อ” ให้ขบวนการยานรก โง่เขลาถึงกับจะทำลาย โครงสร้าง การปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐ ชี้ให้เห็นชัด ว่า ในที่สุดแล้ว ผลร้ายได้ตกอยู่กับผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ ไม่เว้นแม่แต่ลูกเด็กเล็กแดง ท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างจังหวัด จะทราบปัญหานี้เป็นอย่างดี
(ถ้าคนกรุงเทพฯอยู่ในชุมชนแออัด จะทราบเหมือนคนต่างจังหวัด)
แต่รัฐบาลโลซก...ดันไม่รู้!
หนังสือเล่มนี้แพร่หลายไปในโรงเรียน วัดวาอาราม ชุมชนที่มียาเสพติดฯลฯ เพราะมีการนำไปเผยแพร่กัน สำหรับฉบับภาษาอังกฤษ กำหนดแล้วเสร็จเร็วๆนี้ จะนำไปยื่นต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อเปิดข้อเท็จจริงให้ชาวโลก ได้รับทราบความโกหก-ตอแหลระดับอินเตอร์กันต่อไป
ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ว่าระยะนี้จึงมีผู้คนออกมา พูดกันถึงปัญหายาเสพติดมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่สื่อใหญ่อย่าง “ไทยรัฐ” ก็กระแทกหนัก นี่เองอาจเป็นเหตุทำให้นายกฯเขายายเที่ยง จำต้องกระต้วมกระเตี้ยมงกๆเงิ่นๆ มาพูดออกสปอทว่า จะปราบปรามยาเสพติด เมื่อไม่กี่วันนี้เอง
...น่าทุเรศมากจริงๆ!!
พูดแล้วของขึ้น เลยออกนอกเรื่องไปหน่อย ขอพาท่านผู้อ่านกลับเข้าเรื่องของเราดีกว่า
ผู้การนักร้องเอาจริงจัง ในเรื่องการสู้รบกับขบวนการค้ายาเสพติดมาก ถึงกับเปิด
เวปไซด์ของตัวเอง เผยแพร่ความรู้เรื่องอาชญากรรม ประสบการณ์นักสืบของตนเอง ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากประชาชนมาก เขาเขียนถึงผมตั้งแต่ตอนเปิดเวปใหม่ๆ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙โดยใช้หัวเรื่องว่า
เขียนถึงเพื่อน “วาทตะวัน”
ท่านผู้อ่านสนใจ ลองเข้าไปดูกันได้ที่ www.angkul007.com/blog/?cat=10 อาจรู้จักคนเขียนคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ดีมากขึ้น
ผมเห็นว่า เพื่อนคนนี้มีความประสงค์ดีต่อชาติบ้านเมือง ในการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ ก็เอาใจช่วย ขอให้ประสพความสำเร็จในการที่มีความตั้งใจดี เพื่อจะช่วยเหลือบ้านเมือง
ต่อมาได้ทราบว่าเมื่อปีที่แล้ว เขาเขียนเกี่ยวกับผมอีก ในตอนชื่อ “โจรขึ้นบ้าน จะทำยังไงดี” โดยลงในเวปไซด์ของเขา เมื่อปีที่แล้ว (๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๐)
จึงขอตัดข้อความบางส่วน มาให้ท่านลองอ่านดู
...สมัยเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว มีการประชุมตำรวจนานาชาติที่โรงแรมดุสิตธานี ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อนผมเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้แทนตำรวจไทย เกี่ยวกับเรื่องการดำเนินการกับผู้กระทำผิดฐานฟอกเงินและคนร้ายข้ามชาติ
เพื่อนผมคนนี้ภาษาอังกฤษค่อนข้างดี คารมคมคายลีลาการพูดไม่เป็นรองใคร ผมไปฟังเพื่อนผมคนนี้ขึ้นพูดในที่ประชุม ฝรั่งมังค่าจีนลาวแขกที่อยู่ในที่ประชุมชอบใจมาก ปรบมือกันกราวใหญ่ ผมก็พอฟังออกบ้าง ได้ใจความว่า
ประเทศไทยมีระบบการสอบสวนที่มีประสิทธิภาพมากมาก จับได้แม้กระทั่งรัฐมนตรีและนายก ฯ ( ก็ ป.ป.ช.ไงล่ะ ) แต่เทคนิคการพูดตลอดจนลีลา ถ้อยคำน้ำเสียง ดุเด็ดเผ็ดมัน หลังการพูด เพื่อนผมจึงกลายเป็นดารา ตัวแทนมิตรประเทศเข้ามาแนะนำตัว และแลกนามบัตรกัน
ในจำนวนนี้มีหัวหน้าตำรวจมาจากปักกิ่งนัดกินข้าว ผมได้รับอานิสงส์กินกับเขาด้วย ก็ที่โรงแรมดุสิตนั่นแหละ หัวหน้าตำรวจจากปักกิ่งปรารภกับเพื่อนผมว่า
เขารักประเทศไทยมาก แต่มีเรื่องหนึ่งทำให้ตัวเขาไม่สบายใจ คือเมื่อประมาณ ๔-๕ ปีก่อน ตัวเขาและภรรยามาเที่ยวเมืองไทย ไปเดินแถวเยาวราชซึ่งเป็นถิ่นคนจีน เขาได้ซื้อทองรูปพรรณเป็นสร้อยคอน้ำหนัก ๓ บาท แต่พอเขากลับไปที่เมืองจีนพบว่า
เป็นทองเก๊
ผมและเพื่อน รู้สึกเสียหน้ามาก
เพื่อนผมถามว่า จำชื่อยี่ห้อร้านขายทองได้หรือไม่ หัวหน้าตำรวจปักกิ่งจดมาให้เรียบร้อย (เข้าใจว่าหัวหน้าตำรวจจีน ต้องการมาคิดบัญชีกับร้านขายทองร้านนี้ แต่ยังไม่รู้จะไปร้องทุกข์กับใคร หวยดันมาออกที่เพื่อนผม) เพื่อนผมรับปากจะจัดการให้
วันต่อมา การสัมมนายังไม่เสร็จ เพื่อนผมนัดตำรวจจีน ทานอาหารเวียตนามที่โรงแรมดุสิต เรื่องกินผมไม่พลาดอีก ระหว่างที่ทานอาหาร เพื่อนผมก็หยิบตลับพลาสติกสีแดงแบบที่ใช้สำหรับใส่ทอง ๑ ตลับ ส่งให้กับหัวหน้าตำรวจจีน พร้อมกับบอกว่า
“ทางร้านทอง (ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) ฝากขอโทษหัวหน้าตำรวจจีนเป็นอย่างมาก รู้สึกละอายที่พนักงานขายของร้าน ขาดจริยธรรม ทางร้านจะทำการสอบสวนและดำเนินการกับพนักงานผู้ที่กระทำเช่นนั้น และเพื่อเป็นการขออภัยที่ได้ทำผิดไปแล้ว ทางร้านทองขอมอบสร้อยคอทองคำแท้ น้ำหนัก ๓ บาท เป็นการตอบแทน”
หัวหน้าตำรวจจีนตกใจ ชื่นชมเพื่อนผมเป็นที่สุด ที่สามารถจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
หลังทานอาหารเสร็จ ผมถามเพื่อนผมว่า
“มึงรู้จักเถ้าแก่ร้านนั้นหรือ ทำไมมันยอมง่ายๆ?” เพื่อนบอกผมว่า
“ไอ้บ้า...ก็วิชามารไงล่ะ!”
เพื่อนผมคนนี้ก็คือ เจ้าของคอลัมน์ “กาแฟขม ขนมหวาน” ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์นี่เอง ลอง “คลิก”
เข้าไปดูแล้วจะรู้ว่า “ลีลา” สะบัดช่อแค่ไหน !!
(ท่านผู้อ่านจะดูรายละเอียดได้ที่ angkul007.wordpress.com/2007/10/14/)
ทั้งหมดที่เล่ามานั้นนั่น เป็นลีลาการเขียนครั้งล่าสุดของเอลวิสบางปะหัน ที่เขียนพาดพิงถึงผม ทั้งเป็นเรื่องราวย่อๆของอดีตผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ที่ผู้คนเรียกขานเรียกกันว่า “ผู้การเอลวิส” ผู้มีประวัติชีวิตโลดโผนโจนทะยาน พิสดารและไม่เหมือนนายตำรวจคนไหน เพราะสามารถผันแปรตัวเองจากนายตำรวจ ไปเป็นพระเอกหนังประกบกับพระเอกตัวจริง อย่างสรพงศ์ ชาตรีได้
เท่านั้นยังไม่พอ ฝึกหัดร้องเพลงจนได้ดิบได้ดี กลายเป็นเอลวิส เพรสลีย์ไปอีกคนตอนอายุใกล้เกษียณ จนกระทั่งวันอำลาชีวิตราชการ เขาไม่แต่งเครื่องแบบชุดขาว บ๋ายบาย พวกตำรวจทางหลวงลูกน้อง หากแต่งตัวเป็นเอลวิสจำแลง จัดคอนเสิร์ตอำลาอาลัยกันเลยทีเดียวเชียว
...ดูรูปเอาเองก็แล้วกัน!..๕๕๕
หลังที่ได้พักผ่อนออกมากินบำนาญแล้ว ยังควงกีตาร์ไปร่วมงานการกุศลอย่างสม่ำเสมอ แต่รายได้จากการเป็นศิลปินนั้น อย่าว่าแต่ “ค่าตัว” เลย แม้ค่ารถค่าเรือก็ไม่ได้อะไรกับเขา
แถมหลายครั้ง เจ้าตัวยังควักเงินครั้งละสี่ช้าหัาพัน แจกให้เจ้าภาพเสียอีก แต่ก็นั่นแหละ
ทำยังไงได้ เลือดศิลปินเขาแรงจริงๆนี่ครับ!
เรื่องราวของผู้การเอลวิสคนนี้ จะเอาเป็นตำนานอย่างหนังเรื่อง “The Legend.” ก็คงจะพอถูๆไถๆไปได้กระมัง เพราะตำนานนั้น ไม่จำเป็นต้องบู๊ล้างผลาญลูกเดียวอย่างในหนัง แต่ความแปลกประหลาดในการใช้ชีวิต เช่น
มีอาชีพที่รุ่งเรืองในงานหนึ่ง แต่มีความรู้ความสามารถในอีกเรื่องหนึ่ง หรือหลายเรื่อง แต่สามารถทำให้ผู้คน ได้พูดถึงเขากันติดต่อไปกันยาวนาน จนพอกันได้ฟังเป็นตำนาน ให้ลูกหลานเล่าขานสืบกันไปได้
มาถึงมาวันนี้ ‘หัวเข่า’ ของเพื่อนผม ไม่ค่อยจะดีนัก จะโยกและคลึงมากไม่ถนัด เพราะอวัยวะมันเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ที่กลืนกินสรรพสิ่งทั้งหลาย หากยังขืนออกลูกหวือหวาเหมือนเดิม ถ้าผิดจังหวะไป สะบ้าอาจหลุด หรือสะโพกครากเอาได้ง่ายๆ และคงรักษายาก เพราะอายุเยอะแล้ว
ระยะนี้เขาจึงเว้นว่าง จากการไปยืนหน้าไมค์ให้ไฟส่องหน้า จับกีตาร์ แกว่งแขนเขย่าขาสะพรึ่บสะพรั่บบนเวที ให้แฟนๆได้ชมกันอีก
ผู้การเอลวิสหันมาเป็น ‘นักเขียน’ โดยมีเวทีส่วนตัว เอาไว้เขียนเรื่องราวนั่นคือเวปไซด์ของตัวเอง www.angkul007.com บรรเลงเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิต ให้ผู้คนได้อ่านกัน จึงขอแนะนำให้แฟนคอลัมน์นี้ ลองคลิกเข้าไปดูกัน เพราะมีคอลัมน์ดีๆอย่าง “รู้ไว้ไม่ตายโหง!” ถึงวันนี้มีคนเข้าไปดูหลายหมื่นแล้ว
ดูท่าจะ ‘รุ่ง’ ต่อไปได้ไม่ยากนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อนได้พูดถึงเรื่อง “วิชามาร” ก็พอมีเรื่อง จะเล่าให้ท่านผู้อ่านที่เคารพ ฟังได้อยู่เหมือนกัน
จะเขียนเรื่องวิชาสำคัญนี้ ให้อ่านกันสนุกๆ...กรุณาอดใจรออีกสักนิด เถอะครับ!
นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้กล่าวคำว่า “สวัสดีปีใหม่” กับคู่หูเก่า เลยโทรไปหา แต่ก่อนที่เขาจะรับสาย ต้องรับฟังเพลงที่ตั้งเป็นเสียงสัญญาณเรียกเข้าก่อน ซึ่งเป็นเพลง “เอลวิส เพรสลี่” ของยอดนักร้องร๊อคแอนด์โรล จากเมืองเมมฟิส เทนเนสซี่
หลังจากพูดจาไต่ถามทุกข์สุขกัน ก็ได้ทราบว่าเพื่อนอยู่เย็นเป็นสุข กิจกรรมต่างน้อยลง เพราะไม่ได้รับราชการแล้ว ไปช่วยภริยาขายเพชรพลอย อยู่ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ทำหน้าที่เป็น รปภ.ให้ร้านอย่างเข้มแข็ง หมดงานก็กลับบ้านก็เลี้ยงหลาน
นับว่าเพื่อนผมคนนี้ มีความสุขดีสำหรับการเป็นผู้สูงวัย โชคดีที่มีครอบครัวดี และที่สำคัญคือสุขภาพเขาก็ไม่ได้เสื่อมโทรม เพราะไม่มีโรคประจำตัว นอกจากผมหลุดร่วงไปบ้างตามวัย
เคราะห์ดีที่เพื่อนได้ยาดี มาใส่บำรุงอวัยวะส่วนที่มีไว้สวมหมวก เลยไม่กลายเป็นตาเฒ่าหัวขาวโพลน จนไปไหนมาไหน ผู้คนเขาจะนึกว่าตัวโกงหนังบู๊ลิ้ม เรื่อง “ จอมมาร-กบาลขาว ” หลุดจากจอเงิน มาเดินเอ้อระเหย
ปล่อยแสงเฮ้ากวง หรือขวัางเกี้ยมซุกเสน่ห์ ใส่พวกสาวๆตามศูนย์การค้า ให้วุ่นวาย!
ยาของเขาคงดีจริงๆ เพราะนอกจากเส้นผมจะขึ้น ยังดกดำงามเกินวัยอีกด้วย!!
พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท เพื่อนของผมคนนี้ ไม่ได้เกิดที่เมือง เมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ เหมือนเอลวิส เพรสลีย์ แต่เกิดกลางทุ่งมหาราชอันกว้างใหญ่ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งครอบคลุมหลายตำบล รวมทั้งบางปะหัน อำเภอบ้านเกิดของเขาด้วย
เดินลัดทุ่งไปอีกหน่อยก็ถึง “ท่าตอ” บ้านของพระเอกตลอดกาล “สรพงศ์ ชาตรี”
นอกจากเป็นนักสืบมือดีเพื่อนผมคนนี้ ยังรักความเป็น “ศิลปิน” อย่างเข้ากระดูกดำ เคยเป็นพระเอกหนัง ประกบกับคุณน้าสรพงศ์ในหนังดังเรื่อง
“หนึ่งกับหนึ่ง...ฉึ่งแหลก”
หลังจากนั้น เพื่อนก้าวไกลไปถึงการเป็นศิลปินร๊อคแอนด์โรล โดยฝึกหัดร้องเพลง และเลียนแบบเอลวิส เพรสลีย์ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงสังคม หากมีงานเกี่ยวกับการรำลึกถึงยอดนักร้องจากเมมฟิส และมีบรรดาเอลวิสเมืองไทยจะไปร่วมชุมนุมกัน
เอลวิสฟรอมบางปะหันคนนี้ จะต้องสวมชุดเก่ง ที่ตัดร้านเดียวกับราชาร๊อคของโลก ราคาเป็นแสน ไปร่วมกิจกรรมอย่างไม่เคยขาด
เคยเขียนถึงเพื่อน ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอน ๑๑๓ “เป็น เอลวิส-ลูกทุ่ง ถ้าไม่รุ่ง จะมุ่ง วุฒิฯ” ยังเล่าถึงการที่เขาอยากเป็นนักเขียน จึงให้เจ้าตัวลองเขียนดู และได้นำข้อเขียนของเขามาลงเอาไว้ ดังนี้
ผมได้รับการแนะนำจาก “วาทตะวัน สุพรรณเภษัช” เพื่อนรักของผมให้ลองเขียนหนังสือ เพราะชีวิตผ่านประสบการณ์มามาก ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เพื่อนผมแนะว่าลองขยับประวัติตัวเองดูก่อน จึงเป็นที่มาของหัวข้อเรื่องข้างต้น
ผมเกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา...
อยากให้ท่านผู้อ่านลองคลิกเข้าไปอ่าน เพราะผมตั้งโจทก์เอาไว้ว่า ให้เพื่อนเขียนว่าตัวเองได้มีบุญเห็นพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกเมื่อไหร่?
เขาลงท้ายข้อเขียน ได้ดีทีเดียว!
เอลวิส บางปะหันเพื่อนของผม เป็นผู้ก่อตั้ง “สมาคมพลังแผ่นดิน ต้านภัยยาเสพติด กรุงเทพมหานคร” ที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือทางราชการ ในการต่อต้านการแพร่ขยายของยาเสพติด ด้วยสำนึกว่า
เป็นปัญหาสำคัญของชาติ ยิ่งกว่าการก่อการร้ายภาคใต้ด้วยซ้ำ
เรื่องยานรก เป็นปัญหาใหญ่ ทำลายเยาวชนคนของชาติขนาดหนักอยู่ขณะนี้ โดยรัฐบาลสากกระเบือของนายพลสุรยุทธ์ฯ ไม่เคยเอาใจใส่ดูแล กลับดันตั้งกรรมการมาสอบหาว่า
เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนในการฆ่าฟัน พวกยาเสพติดมากมายเพียงไร?
พูดตรงไปตรงมาว่า กะจะ “ฉะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจให้เต็มที่ ว่ากันตรงๆอย่างนั้นเถอะ แต่รัฐบาลเสียเงินทองไปมากมายหลายสิบล้านบาท จนบัดนี้ก็หาตัวคนทำผิดไม่ได้ว่า
ใครกันที่เป็นผู้ฆ่าตัดตอน คนหรือหมากันแน่?
เห็นบ้านเมือง “เพี้ยน” อย่างนี้ ผมอดรนทนไม่ได้ จึงออกหนังสือ "โกหกบันลือโลก ฆ่าตัดตอน 2.500 ศพ" วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง ของรัฐบาลโลซกชุดนี้กับพวกทหาร ที่เสือกเข้ามายึดอำนาจในบ้านเมือง แล้วตั้งนายพลสุรยุทธ์ฯ ขึ้นมาเป็น “ผู้นำหุ่น” ลากประเทศที่น่าสงสารของเรา ไปในสภาพถูลู่ถูกัง เป็นที่เวทนาแก่บรรดามิตรประเทศต่างๆ โดยทั่วกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในหนังสือเล่มดังกล่าว ผมชำแหละยับเยินถึงเรื่องการยอม “อ่อนข้อ” ให้ขบวนการยานรก โง่เขลาถึงกับจะทำลาย โครงสร้าง การปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐ ชี้ให้เห็นชัด ว่า ในที่สุดแล้ว ผลร้ายได้ตกอยู่กับผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ ไม่เว้นแม่แต่ลูกเด็กเล็กแดง ท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างจังหวัด จะทราบปัญหานี้เป็นอย่างดี
(ถ้าคนกรุงเทพฯอยู่ในชุมชนแออัด จะทราบเหมือนคนต่างจังหวัด)
แต่รัฐบาลโลซก...ดันไม่รู้!
หนังสือเล่มนี้แพร่หลายไปในโรงเรียน วัดวาอาราม ชุมชนที่มียาเสพติดฯลฯ เพราะมีการนำไปเผยแพร่กัน สำหรับฉบับภาษาอังกฤษ กำหนดแล้วเสร็จเร็วๆนี้ จะนำไปยื่นต่อองค์การสหประชาชาติ เพื่อเปิดข้อเท็จจริงให้ชาวโลก ได้รับทราบความโกหก-ตอแหลระดับอินเตอร์กันต่อไป
ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ว่าระยะนี้จึงมีผู้คนออกมา พูดกันถึงปัญหายาเสพติดมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่สื่อใหญ่อย่าง “ไทยรัฐ” ก็กระแทกหนัก นี่เองอาจเป็นเหตุทำให้นายกฯเขายายเที่ยง จำต้องกระต้วมกระเตี้ยมงกๆเงิ่นๆ มาพูดออกสปอทว่า จะปราบปรามยาเสพติด เมื่อไม่กี่วันนี้เอง
...น่าทุเรศมากจริงๆ!!
พูดแล้วของขึ้น เลยออกนอกเรื่องไปหน่อย ขอพาท่านผู้อ่านกลับเข้าเรื่องของเราดีกว่า
ผู้การนักร้องเอาจริงจัง ในเรื่องการสู้รบกับขบวนการค้ายาเสพติดมาก ถึงกับเปิด
เวปไซด์ของตัวเอง เผยแพร่ความรู้เรื่องอาชญากรรม ประสบการณ์นักสืบของตนเอง ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากประชาชนมาก เขาเขียนถึงผมตั้งแต่ตอนเปิดเวปใหม่ๆ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙โดยใช้หัวเรื่องว่า
เขียนถึงเพื่อน “วาทตะวัน”
ท่านผู้อ่านสนใจ ลองเข้าไปดูกันได้ที่ www.angkul007.com/blog/?cat=10 อาจรู้จักคนเขียนคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ดีมากขึ้น
ผมเห็นว่า เพื่อนคนนี้มีความประสงค์ดีต่อชาติบ้านเมือง ในการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ ก็เอาใจช่วย ขอให้ประสพความสำเร็จในการที่มีความตั้งใจดี เพื่อจะช่วยเหลือบ้านเมือง
ต่อมาได้ทราบว่าเมื่อปีที่แล้ว เขาเขียนเกี่ยวกับผมอีก ในตอนชื่อ “โจรขึ้นบ้าน จะทำยังไงดี” โดยลงในเวปไซด์ของเขา เมื่อปีที่แล้ว (๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๐)
จึงขอตัดข้อความบางส่วน มาให้ท่านลองอ่านดู
...สมัยเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว มีการประชุมตำรวจนานาชาติที่โรงแรมดุสิตธานี ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อนผมเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้แทนตำรวจไทย เกี่ยวกับเรื่องการดำเนินการกับผู้กระทำผิดฐานฟอกเงินและคนร้ายข้ามชาติ
เพื่อนผมคนนี้ภาษาอังกฤษค่อนข้างดี คารมคมคายลีลาการพูดไม่เป็นรองใคร ผมไปฟังเพื่อนผมคนนี้ขึ้นพูดในที่ประชุม ฝรั่งมังค่าจีนลาวแขกที่อยู่ในที่ประชุมชอบใจมาก ปรบมือกันกราวใหญ่ ผมก็พอฟังออกบ้าง ได้ใจความว่า
ประเทศไทยมีระบบการสอบสวนที่มีประสิทธิภาพมากมาก จับได้แม้กระทั่งรัฐมนตรีและนายก ฯ ( ก็ ป.ป.ช.ไงล่ะ ) แต่เทคนิคการพูดตลอดจนลีลา ถ้อยคำน้ำเสียง ดุเด็ดเผ็ดมัน หลังการพูด เพื่อนผมจึงกลายเป็นดารา ตัวแทนมิตรประเทศเข้ามาแนะนำตัว และแลกนามบัตรกัน
ในจำนวนนี้มีหัวหน้าตำรวจมาจากปักกิ่งนัดกินข้าว ผมได้รับอานิสงส์กินกับเขาด้วย ก็ที่โรงแรมดุสิตนั่นแหละ หัวหน้าตำรวจจากปักกิ่งปรารภกับเพื่อนผมว่า
เขารักประเทศไทยมาก แต่มีเรื่องหนึ่งทำให้ตัวเขาไม่สบายใจ คือเมื่อประมาณ ๔-๕ ปีก่อน ตัวเขาและภรรยามาเที่ยวเมืองไทย ไปเดินแถวเยาวราชซึ่งเป็นถิ่นคนจีน เขาได้ซื้อทองรูปพรรณเป็นสร้อยคอน้ำหนัก ๓ บาท แต่พอเขากลับไปที่เมืองจีนพบว่า
เป็นทองเก๊
ผมและเพื่อน รู้สึกเสียหน้ามาก
เพื่อนผมถามว่า จำชื่อยี่ห้อร้านขายทองได้หรือไม่ หัวหน้าตำรวจปักกิ่งจดมาให้เรียบร้อย (เข้าใจว่าหัวหน้าตำรวจจีน ต้องการมาคิดบัญชีกับร้านขายทองร้านนี้ แต่ยังไม่รู้จะไปร้องทุกข์กับใคร หวยดันมาออกที่เพื่อนผม) เพื่อนผมรับปากจะจัดการให้
วันต่อมา การสัมมนายังไม่เสร็จ เพื่อนผมนัดตำรวจจีน ทานอาหารเวียตนามที่โรงแรมดุสิต เรื่องกินผมไม่พลาดอีก ระหว่างที่ทานอาหาร เพื่อนผมก็หยิบตลับพลาสติกสีแดงแบบที่ใช้สำหรับใส่ทอง ๑ ตลับ ส่งให้กับหัวหน้าตำรวจจีน พร้อมกับบอกว่า
“ทางร้านทอง (ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) ฝากขอโทษหัวหน้าตำรวจจีนเป็นอย่างมาก รู้สึกละอายที่พนักงานขายของร้าน ขาดจริยธรรม ทางร้านจะทำการสอบสวนและดำเนินการกับพนักงานผู้ที่กระทำเช่นนั้น และเพื่อเป็นการขออภัยที่ได้ทำผิดไปแล้ว ทางร้านทองขอมอบสร้อยคอทองคำแท้ น้ำหนัก ๓ บาท เป็นการตอบแทน”
หัวหน้าตำรวจจีนตกใจ ชื่นชมเพื่อนผมเป็นที่สุด ที่สามารถจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
หลังทานอาหารเสร็จ ผมถามเพื่อนผมว่า
“มึงรู้จักเถ้าแก่ร้านนั้นหรือ ทำไมมันยอมง่ายๆ?” เพื่อนบอกผมว่า
“ไอ้บ้า...ก็วิชามารไงล่ะ!”
เพื่อนผมคนนี้ก็คือ เจ้าของคอลัมน์ “กาแฟขม ขนมหวาน” ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์นี่เอง ลอง “คลิก”
เข้าไปดูแล้วจะรู้ว่า “ลีลา” สะบัดช่อแค่ไหน !!
(ท่านผู้อ่านจะดูรายละเอียดได้ที่ angkul007.wordpress.com/2007/10/14/)
ทั้งหมดที่เล่ามานั้นนั่น เป็นลีลาการเขียนครั้งล่าสุดของเอลวิสบางปะหัน ที่เขียนพาดพิงถึงผม ทั้งเป็นเรื่องราวย่อๆของอดีตผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ที่ผู้คนเรียกขานเรียกกันว่า “ผู้การเอลวิส” ผู้มีประวัติชีวิตโลดโผนโจนทะยาน พิสดารและไม่เหมือนนายตำรวจคนไหน เพราะสามารถผันแปรตัวเองจากนายตำรวจ ไปเป็นพระเอกหนังประกบกับพระเอกตัวจริง อย่างสรพงศ์ ชาตรีได้
เท่านั้นยังไม่พอ ฝึกหัดร้องเพลงจนได้ดิบได้ดี กลายเป็นเอลวิส เพรสลีย์ไปอีกคนตอนอายุใกล้เกษียณ จนกระทั่งวันอำลาชีวิตราชการ เขาไม่แต่งเครื่องแบบชุดขาว บ๋ายบาย พวกตำรวจทางหลวงลูกน้อง หากแต่งตัวเป็นเอลวิสจำแลง จัดคอนเสิร์ตอำลาอาลัยกันเลยทีเดียวเชียว
...ดูรูปเอาเองก็แล้วกัน!..๕๕๕
หลังที่ได้พักผ่อนออกมากินบำนาญแล้ว ยังควงกีตาร์ไปร่วมงานการกุศลอย่างสม่ำเสมอ แต่รายได้จากการเป็นศิลปินนั้น อย่าว่าแต่ “ค่าตัว” เลย แม้ค่ารถค่าเรือก็ไม่ได้อะไรกับเขา
แถมหลายครั้ง เจ้าตัวยังควักเงินครั้งละสี่ช้าหัาพัน แจกให้เจ้าภาพเสียอีก แต่ก็นั่นแหละ
ทำยังไงได้ เลือดศิลปินเขาแรงจริงๆนี่ครับ!
เรื่องราวของผู้การเอลวิสคนนี้ จะเอาเป็นตำนานอย่างหนังเรื่อง “The Legend.” ก็คงจะพอถูๆไถๆไปได้กระมัง เพราะตำนานนั้น ไม่จำเป็นต้องบู๊ล้างผลาญลูกเดียวอย่างในหนัง แต่ความแปลกประหลาดในการใช้ชีวิต เช่น
มีอาชีพที่รุ่งเรืองในงานหนึ่ง แต่มีความรู้ความสามารถในอีกเรื่องหนึ่ง หรือหลายเรื่อง แต่สามารถทำให้ผู้คน ได้พูดถึงเขากันติดต่อไปกันยาวนาน จนพอกันได้ฟังเป็นตำนาน ให้ลูกหลานเล่าขานสืบกันไปได้
มาถึงมาวันนี้ ‘หัวเข่า’ ของเพื่อนผม ไม่ค่อยจะดีนัก จะโยกและคลึงมากไม่ถนัด เพราะอวัยวะมันเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ที่กลืนกินสรรพสิ่งทั้งหลาย หากยังขืนออกลูกหวือหวาเหมือนเดิม ถ้าผิดจังหวะไป สะบ้าอาจหลุด หรือสะโพกครากเอาได้ง่ายๆ และคงรักษายาก เพราะอายุเยอะแล้ว
ระยะนี้เขาจึงเว้นว่าง จากการไปยืนหน้าไมค์ให้ไฟส่องหน้า จับกีตาร์ แกว่งแขนเขย่าขาสะพรึ่บสะพรั่บบนเวที ให้แฟนๆได้ชมกันอีก
ผู้การเอลวิสหันมาเป็น ‘นักเขียน’ โดยมีเวทีส่วนตัว เอาไว้เขียนเรื่องราวนั่นคือเวปไซด์ของตัวเอง www.angkul007.com บรรเลงเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิต ให้ผู้คนได้อ่านกัน จึงขอแนะนำให้แฟนคอลัมน์นี้ ลองคลิกเข้าไปดูกัน เพราะมีคอลัมน์ดีๆอย่าง “รู้ไว้ไม่ตายโหง!” ถึงวันนี้มีคนเข้าไปดูหลายหมื่นแล้ว
ดูท่าจะ ‘รุ่ง’ ต่อไปได้ไม่ยากนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเพื่อนได้พูดถึงเรื่อง “วิชามาร” ก็พอมีเรื่อง จะเล่าให้ท่านผู้อ่านที่เคารพ ฟังได้อยู่เหมือนกัน
จะเขียนเรื่องวิชาสำคัญนี้ ให้อ่านกันสนุกๆ...กรุณาอดใจรออีกสักนิด เถอะครับ!
..................