โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
จากกระแสของ ChatGPT (Chatbot Generative Pre-trained Transformer) โปรแกรมซอฟต์แวร์ใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดยบริษัท Open AI จากสหรัฐอเมริกา ChatGPT เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์พูดคุยตอบโต้กับ AI (ปัญญาประดิษฐ์) โปรแกรมดังกล่าวเป็นที่ฮือฮาของชาวโลก เพราะการตอบคำถามของ ChatGPT เหนือชั้นกว่าคำตอบที่ได้จากการค้นหาข้อมูลในเว็บเสิร์ชเอนจินกูเกิล สำหรับ ChatGPT จะตอบคำถามจากคีย์เวิร์ดที่เราป้อนอย่างรอบด้าน โดยคำตอบจะมีการวิเคราะห์ให้เสร็จสรรพ ให้ข้อมูลทั้งตัวเลขและตัวอักษรที่รวบรวมจากอินเทอร์เน็ตทั่วโลก หลากหลายภาษา ดังนั้น ระบบจะประมวลผลเป็นคำตอบที่ดีและตรงที่สุดจากฐานข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาล
เพราะเหตุนี้จึงสร้างความหวาดกลัวต่อหลายๆ คนถึงการพัฒนาในโลกอนาคตที่อาจจะมีงานหลากหลายตำแหน่งใช้ AI เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์กันมากขึ้น ความก้าวหน้าของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ในปัจจุบันไม่เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในวงการไอที ยังได้รุกคืบไปในวงการอื่นๆ ด้วย เช่น วงการการศึกษา สื่อมวลชน และวงการศิลปะการออกแบบ เป็นต้น
ถึงแม้ว่าบริษัท Open AI ยังไม่ได้เปิดให้ผู้ใช้จากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงเข้าถึง ChatGPT แต่สื่อจีนก็ให้ความสนใจ ChatGPT เป็นอย่างมาก มีการเผยแพร่เรื่องราวของ ChatGPT และบริษัท Open AI อย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลจีนอย่างรวดเร็ว เพราะเว็บไซต์ Open AI สามารถเปิดหน้าเว็บในจีนได้แต่ไม่สามารถลงทะเบียนผู้ใช้ได้ (ยังไม่รองรับเบอร์โทรศัพท์มือถือของจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง) ทางด้านของโฆษกของ Open AI ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารด้านการเงินชั้นนำในจีน ‘ไฉจิง’ ว่าปัจจุบัน ChatGPT เปิดให้บริการใน 161 ประเทศ ในเอเชียได้เปิดให้ใช้ในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และบังกลาเทศ เป็นต้น สำหรับแผนของ Open AI ที่จะเข้ามาในจีนและร่วมมือกับบริษัทจีนหรือไม่นั้น ทาง Open AI ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน
ผู้เขียนมองว่าการที่ ChatGPT จะเข้ามาให้บริการในจีนอาจจะมีข้อจำกัดมาก เพราะประเด็นความมั่นคงทางไซเบอร์เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ อีกทั้งการเข้ามาของ Open AI จะกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ของจีน ไม่ใช่แค่ประเด็นการเมืองความมั่นคงของประเทศเท่านั้น แต่ยังโยงไปถึงบริษัทไอทีเอกชนจีนอีกด้วยที่ต้องเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง Open AI หากประเมินตามสถานการณ์ในปัจจุบัน Open AI จะเข้ามาแบบโดดๆ ในจีนไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่หาก Open AI เข้ามาแบบร่วมทุนกับบริษัทจีนและปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัฐบาลจีนทุกกระเบียดนิ้ว ก็เป็นไปได้ที่ Open AI อาจจะเข้ามาเปิดบริการในจีนได้
ในประเทศจีนสนใจเล่นโปรแกรมการพูดคุยกับ AI อย่าง Chat GPT เป็นอย่างมากจนทำให้เกิด “ChatGPT ปลอม” มากมาย มีทั้งเป็นรูปแบบแอปพลิเคชันและมินิโปรแกรมในวีแชท การให้บริการของ ChatGPT เวอร์ชันปลอมจะบอกผู้ใช้ว่าเป็นการให้บริการฟรี แต่พอผู้ใช้ลงทะเบียนใช้จะมีการแนะนำบริการที่คิดเงิน โดยวิธีการที่ใช้ทั่วไปจะมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ บริการแบบแรกเป็นบริการตัวกลางเชื่อมต่อกับ ChatGPT จาก Open AI บริการป้อนข้อมูลถาม ChatGPT แทนผู้ใช้และแจ้งคำตอบให้ผู้ใช้ บริการแบบที่ 2 เป็น ChatGPT ปลอมล้วนๆ ที่ทำการประมวลผลเองและเก็บค่าบริการการตั้งคำถามแต่ละครั้ง มีการตั้งราคาเหมา เช่น 9.99 หยวน (50 บาท)/20 ครั้ง 99.99 หยวน (100 บาท)/1,300 ครั้ง 199.99 หยวน (1,000 บาท)/3,000 ครั้งเป็นต้น บางทีจะเป็นการเก็บค่าสมาชิกรายเดือน ราย 3 เดือน หรือรายปี เป็นต้น
ChatGPT เวอร์ชันปลอมพวกนี้ใช้โอกาสที่ ChatGPT กำลังดังและได้รับความสนใจจากประชาชนจีน ซึ่งจริงๆ แล้วเวอร์ชันปลอมที่ออกมาให้บริการพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ Open AI จากสหรัฐฯ แม้แต่นิดเดียว อีกทั้ง ChatGPT เวอร์ชันปลอมที่ออกมาให้บริการส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพ คือ บางทีตอบในสิ่งที่ไม่ได้ถามหรือการตอบคำถามแบบผิดๆ ถูกๆ ทั้งยังมีอีกความเสี่ยงสำหรับผู้ใช้ที่เติมเงินเป็นสมาชิก โดยแพลตฟอร์ม ChatGPT เวอร์ชันปลอมพวกนี้อาจจะได้เงินสมาชิกแล้วก็ปิดตัวไปดื้อๆ เลยก็ได้ ดังนั้น ChatGPT เวอร์ชันปลอมอาจจะกลายเป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพถือโอกาสสร้างโปรแกรมปลอมขึ้นมาเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวและหลอกให้ผู้ใช้เติมเงิน
มีเพื่อนของผู้เขียนหลายคนแนะนำมินิโปรแกรม ChatGPT มาให้ใช้ ซึ่งเป็นมินิโปรแกรมภาษาจีน โดยพวกเขาเข้าใจว่าเป็น ChatGPT ของจริง ซึ่งแสดงว่าชาวจีนบางส่วนยังไม่รู้จัก ChatGPT ดีพอ ไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม
ChatGPT จาก Open AI เปิดตัวเพียงแค่ 2 เดือนมีผู้ใช้ลงทะเบียนทั่วโลก 100 ล้านคน (ณ ปัจจุบันนับว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุดในโลก) ในขณะที่แพลตฟอร์มติ๊กต็อก (Tiktok) ใช้เวลากว่า 9 เดือนที่ผู้ลงทะเบียนเข้าใช้ทั่วโลกจะมีจำนวนถึง 100 ล้านคน การเกิดขึ้นของ ChatGPT ไม่ได้หมายความว่าการเรียนรู้และพัฒนาของมนุษย์จะไร้ความหมาย ในด้านบวก ChatGPT สามารถช่วยให้มนุษย์เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ChatGPT ตอบคำตอบอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง การกำเนิดขึ้นของ ChatGPT ผู้เขียนเชื่อว่าต้องเปลี่ยนโลกได้อีกครั้งแน่นอน เหมือนกับครั้งที่มนุษย์เปลี่ยนจากมือถือแบบดั้งเดิมมาเป็นการใช้มือถือสมาร์ทโฟน
ChatGPT มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงอยู่ด้วยกัน ภาคการศึกษาทั่วโลกในปัจจุบันค่อนข้างเป็นกังวลกับ ChatGPT มากที่สุด ในแง่ของการใช้ ChatGPT ในการเขียนวิทยานิพนธ์หรือทำการบ้านแทน บางคนคิดไปถึงว่าโลกอนาคตอาจารย์สอนหนังสืออาจจะตกงานและถูกแทนที่ด้วย AI ก็เป็นไปได้
จีนให้ความสนใจกับ ChatGPT เป็นอย่างมาก มีบทความวิเคราะห์ในโซเชียลมากมายพูดถึง ChatGPT และมีงานสัมมนาเทคโนโลยีในจีนหลายงานที่มีการถกประเด็นกันเรื่อง ChatGPT อย่างเช่น นายโจวหงยี ผู้ก่อตั้งระบบป้องกันความปลอดภัยไซเบอร์ 360 Security ได้เคยกล่าวถึง ChatGPT ว่า “ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ChatGPT ไม่น่าจะทำให้ผู้คนตกงานได้ ปัจจุบัน ChatGPT คือเครื่องมือช่วยของมนุษย์ แต่มีความน่าทึ่งที่ ChatGPT มีความเข้าใจภาษาของมนุษย์และการแสดงออกที่ธรรมชาติ มีคลังความรู้จากทั่วโลก”
นายโจวหงยี จับตากับการพัฒนาของ ChatGPT เป็นอย่างมาก ตัวเขาเองมองว่า นวัตกรรม AI ที่จีนมีอยู่ปัจจุบันไม่น้อยหน้าไมโครซอฟท์ หรือกูเกิล และคิดว่าการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ ChatGPT จีนมีความได้เปรียบ และหวังว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้าระดับเทคโนโลยี AI จีนจะเทียบเท่ากับประเทศตะวันตก
เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา บริษัทไป๋ตู้ บริษัทไอทีชั้นนำจีนที่ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาด้าน AI ที่ก้าวหน้าที่สุดในประเทศ ได้ประกาศ ChatGPT เวอร์ชันไป๋ตู้ มีชื่อภาษาจีนว่า “文心一言”อ่านว่า เหวินซินอีเหยียน ชื่อภาษาอังกฤษ “ERNIE Bot” รายงานว่าภายในเดือนมี.ค. การทดสอบภายในจะเสร็จสิ้น โดย ChatGPT เวอร์ชันไป๋ตู้นี้จะถูกเพิ่มเข้าไปในหน้าเว็บไซต์ค้นหาของไป๋ตู้
สรุป ถึงแม้ว่า ChatGPT จาก Open AI ไม่สามารถลงทะเบียนใช้งานได้ในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง แต่ชาวจีน หน่วยงานรัฐและเอกชนจีนต่างตื่นตัวกับ ChatGPT เป็นอย่างมาก แน่นอนว่า ChatGPT เป็นภัยคุกคามต่อจีนมากพอสมควรเพราะมาจากฝั่งอเมริกา และจีนเองพยายามพัฒนา AI ของตัวเองอยู่อย่างไม่หยุดเช่นกัน ChatGPT เวอร์ชันไป๋ตู้ ERNIE Bot กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ บางคนพูดติดตลกว่า จีนกลัว ChatGPT ส่วนอเมริกากลัว TikTok ทำให้ผู้เขียนฉุกคิดและมองว่าทุกวันนี้สงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจมีหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น การกำเนิดขึ้นของ ChatGPT ดูทรงแล้วจะกลายเป็นสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อีกครั้ง ต่อจากสงครามการค้า