xs
xsm
sm
md
lg

New China Insights : เกิดอะไรขึ้นเมื่อหุ้นจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงกันระนาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ปัจจุบันมูลค่าหุ้นอาลีบาบา ลดลงมากกว่า 70% จากเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ในภาพ : ตลาดหุ้นนิวยอร์กขึ้นป้ายต้อนรับ ‘อาลีบาบา’ เมื่อปี 2014 (แฟ้มภาพรอยเตอร์)
โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ กรุงปักกิ่ง UIBE

หลายๆ คนอาจจะมีความรู้สึกกันว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลกหลายด้านมีอยู่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการระบาดของโรคโควิด-19 ปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียในยูเครน ความเสี่ยงของเงินเฟ้อสูงทั่วโลก การขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ หลายประเทศทั่วโลกกำลังประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยมีการประเมินกันว่าการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกที่ยาวนานกว่า 3 ปีนี้จะทำให้เกิดคนยากจนเพิ่มขึ้นทั่วโลกมากกว่า 500 ล้านคน

ในด้านของจีน เป้าหมายทางเศรษฐกิจในปีนี้ยังคงเป็นเรื่องของการประคับประคองและเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่มั่นคง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนเองยอมรับถึงความกดดันและท้าทายในการประคองเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ประคองอัตราการจ้างงาน พร้อมกับพยายามปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจลดความร้อนแรงและการพึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์ ภารกิจสำคัญอีกด้านคือการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประชาชนในประเทศโดยจัดสรรทรัพยากรด้านการเงิน พยายามเก็บเงินจากกลุ่มคนรวยมากขึ้นไปจัดสรรให้แก่คนจน ตลอดจนการสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น

ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา จีนดำเนินนโยบายปลอดโควิดมาตลอด การเดินทางของประชาชนระหว่างประเทศมีกฎเกณฑ์เคร่งครัดมากมาย และต้นทุนสูง (ค่าเครื่องบินแพงหูฉี่และการกักตัวขาเข้าประเทศจีนที่ยาวนานและค่าใช้จ่ายสูง) ในด้านของสินค้านำเข้าจีนก็มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดด้วยเช่นกัน การฆ่าเชื้อพื้นผิวพัสดุและตรวจเชื้อโควิด-19 ตรงนี้ได้เพิ่มต้นทุนด้านต่างๆ ให้ผู้ประกอบการมาก อย่างไรก็ตาม ล่าสุดการบินพลเรือนจีนได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการว่าในปี 2023 คือปีหน้าเป็นต้นไปจะเริ่มมีการเปิดน่านฟ้า อนุญาตเที่ยวบินระหว่างประเทศมากขึ้นและไม่จำกัดการเดินทางท่องเที่ยวของประชาชนอีกต่อไป นี่อาจจะเป็นสัญญาณว่าจีนเริ่มที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์โลกแล้ว

โลโกของบริษัท JD.com หนึ่งในกลุ่มหุ้นจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มูลค่าตกมากที่สุด 5 อันดับแรก (แฟ้มภาพรอยเตอร์)
ที่ผู้เขียนร่ายยาวข้างต้นเพราะต้องการจะสื่อว่า ถึงแม้ว่าการเติบโตเศรษฐกิจโดยรวมของจีนจะดีกว่าหลายประเทศ แต่ก็มีความกดดันและความท้าทายเศรษฐกิจสังคมในหลายด้าน ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจเอกชนจีนถือว่ามีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอย่างมาก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัทจีนที่มีศักยภาพและการเติบโตสูงมักไประดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะเงื่อนไขการเข้าตลาดที่ง่ายกว่า (ตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดกึ่งเสรีมีความเข้มงวดมากกว่า) การระดมทุนเป็นตลาดที่กว้างกว่า มูลค่าหุ้นได้รับการประเมินในระดับที่สูงกว่า ทำให้บรรดาบริษัทจีนที่มีศักยภาพในระดับหนึ่งต่างพาเหรดกันไปขึ้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระดมทุน ทำให้เมื่อสิ้นปี 2018 บริษัทจีนกว่า 494 รายได้ขึ้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย เช่น กลุ่มบริษัทรายใหญ่ด้านไอทีและค้าปลีก อย่าง Alibaba และ JD.com บริษัท Ctrip ที่ทำธุรกิจด้านไอทีที่ให้บริการข้อมูลและการจองในภาคท่องเที่ยวแบบครบวงจร บริษัท Weipinhui (เหวยผิ่นฮุ่ย) ที่ทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ที่เน้นสินค้าแบรนด์เนม Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียดังของจีน และบริษัท Sougou ผู้ให้บริการไอทีชื่อดัง เป็นต้น

กลุ่มบริษัทไอทีจีนที่ไปขึ้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับการจับตาและดูมีอนาคตสดใส แต่หลังจากปี 2021 มูลค่าหุ้นของบริษัทจีนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะตกลงมาเรื่อยๆ โดยหุ้นจีนทั้งหมดที่อยู่ในตลาดสหรัฐฯ คนจีนเรียกกันโดยรวมสั้นๆ ว่า 中概股 อ่านว่า ‘จงไก้กู่’ มีมูลค่าหุ้นลดลงอย่างมาก หุ้นบางตัวมูลค่าลดลงจนน่าใจหาย จากรายงานสถิติของสถาบันวิจัย WIND ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนในจีน ระบุว่าตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา หุ้นจีน 244 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่าลดลง ในจำนวนนี้ 178 ตัว มูลค่าหุ้นลดลงมากกว่า 50% และหุ้น 31 ตัว ลดลงมากกว่า 90%

สำหรับปีนี้ 2022 ที่คนจีนจับตากันคือ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทให้บริการแอปเรียกรถรายใหญ่คือ DiDi ลดลงอีก 44% ราคาหุ้นเหลือไม่ถึง 2 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนพี่ใหญ่อาลีบาบา มูลค่าหุ้นลดลงอีก 10% ณ ปัจจุบัน (3 มี.ค.) ราคาลงมาเหลือ 86 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เทียบกับมูลค่าหุ้นสูงสุดเมื่อปี 2020 ที่ 319 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เมื่อเทียบกับ 8 ปีที่แล้วปัจจุบันมูลค่าหุ้นอาลีบาบา ลดลงมากกว่า 70% เลยทีเดียว

สถาบันวิจัย WIND ได้จัดทำสถิติหุ้นจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มูลค่าตกมากที่สุด 5 อันดับแรก ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมาจะเห็นได้ว่าหุ้นประเภทไอทีเป็นกลุ่มที่ตกลงมาแรงมากๆ ดังตารางต่อไปนี้

กลุ่มหุ้นจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มูลค่าตกมากที่สุด 5 อันดับแรก จัดทำโดยสถาบันวิจัย WIND
ส่วนสาเหตุที่กลุ่มหุ้นจีนร่วงลงเยอะขนาดนี้เหตุผลหลักเพราะ “นโยบายด้านการเมืองของจีนและสหรัฐฯ ที่ย้อนแย้งกัน” โดยทางสหรัฐฯ หน่วยงาน SEC (US Securities and Exchange Commission) ปี 2020 ได้ออกกฎหมายความรับผิดชอบของบริษัทต่างประเทศโดยระบุไว้ว่า หากบริษัทใดไม่ได้ยื่นเอกสารตรวจสอบด้านการเงินและผลประกอบการโดยละเอียดต่อติดต่อกัน 3 ปีจะถูกระงับการซื้อขายหุ้นในตลาด โดยในเดือน มี.ค.ของปีนี้มี 5 บริษัทจีนอยู่ในลิสต์คือ 1.Baiji Shenzhou 2.Yum China 3.Zaiding pharmaceutical 4.Shengmei semiconductor 5.Hehuang pharmaceutical โดยในรายละเอียดไม่ได้ระบุว่าเป็นข้อมูลด้านไหนที่บริษัทเหล่านี้ไม่ได้แสดงต่อคณะกรรมการฯสหรัฐฯ

สำหรับเนื้อหาสำคัญของกฎหมายความรับผิดชอบของบริษัทต่างประเทศที่สำคัญคือ บริษัทต่างชาติที่ขึ้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะต้องรายงานข้อมูลของบริษัท การเงิน ข้อมูลลูกค้าที่ให้บริการอย่างละเอียด แล้วประเด็นสำคัญคือการต้องยืนยันว่าบริษัทไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐและเป็นอิสระในตัวเองโดยแท้จริง

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2022 หุ้นของบริษัทให้บริการแอปเรียกรถ DiDi ลดลงอีก 44% ราคาหุ้นเหลือไม่ถึง 2 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องที่แวดวงจับตากันมาก (แฟ้มภาพ รอยเตอร์)
แต่หากลองกลับมาคิดดูจะทราบว่าบริษัทใหญ่ๆ ทั้งหลายในจีนจะถูกรัฐบาลเข้ามาควบคุมไม่มากก็น้อย (แล้วแต่ประเภทกิจการและกิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐ) โดยรัฐบาลจีนในปีที่แล้วได้ออกนโยบายควบคุมบริษัทจีนที่จะไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ และออกกฎระเบียบข้อบังคับด้านการป้องกันข้อมูลความมั่นคง ความลับของผู้ใช้และของประเทศออกมาพร้อมๆ กัน

ยกตัวอย่างเช่น แอปเรียกรถ DiDi ที่ในปัจจุบันยังถูกแบนในแอปสโตร์ของจีนอยู่ โดยลูกค้าใหม่ไม่สามารถโหลดแอปได้ สำหรับลูกค้าเก่าที่มีแอปในมือถืออยู่แล้วยังคงใช้ได้อยู่ ในปีที่แล้วแอปเรียกรถ DiDi มีเรื่องจากการที่ต้องให้เอกสารและข้อมูลบริษัทโดยละเอียดกับทางสหรัฐฯ ซึ่งก็กลายเป็นประเด็นดังและถูกรัฐบาลจีนลงดาบ เนื่องจากทำผิดกฎของทางการจีน เนื่องจากว่าข้อมูลในเชิงลึก ข้อมูลลูกค้า แผนที่ สถิติต่างๆ เกี่ยวโยงกับเรื่องความลับและความมั่นคงของประเทศ ทำให้ในเดือน ธ.ค.ปี 2021 ที่ผ่านมา แอปเรียกรถ DiDi ได้ประกาศถอนตัวออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเตรียมตัวขึ้นตลาดหุ้นฮ่องกงแทน อีกประเด็นสำคัญที่หุ้นตัวใหญ่ๆ ของจีนถูกเทขายเพราะการที่รัฐบาลจีนกำลังปราบปรามการผูกขาดตลาดอย่างจริงจัง

โลโกของบริษัท Baidu หนึ่งในกลุ่มหุ้นจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มูลค่าตกมากที่สุด 5 อันดับแรก (แฟ้มภาพรอยเตอร์)
จีนเองมองว่าสหรัฐฯ ใช้วิธีการนี้ในการบีบคั้นบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้น และสำหรับบริษัทจีนเองในปัจจุบันมีทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดคือ ถอยออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และกลับมาขึ้นตลาดหุ้นฮ่องกงแทน ผู้เขียนมองว่าประเด็นตลาดทุนนี้ก็เป็นอีกประเด็นของสงครามการค้าและการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่น่าจับตาต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น