xs
xsm
sm
md
lg

ค่าบาทแกว่งในทิศทางแข็งค่า จับตาสงครามเริ่มคลี่คลาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่ม Krungthai Global Markets ธนาคารกรุงไทย (KTB) ระบุค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดการเงินได้แรงหนุนจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (FOMC) มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ตามคาด พร้อมกันนั้น เฟดยังได้ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเฟด ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ส่วนในปีหน้านั้นเฟดมองการขึ้นดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง ทำให้จุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้จะอยู่ที่ 2.75-3.00%

ทั้งนี้ การปรับขึ้นประมาณการดอกเบี้ยนโยบายของเฟดนั้นสอดคล้องกับมุมมองของเฟดที่ต้องการจัดการปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนผ่านการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE ในปีนี้ที่สูงถึง 4.3% และ 2.7% ในปีหน้า และในการประชุมครั้งนี้ เฟดยังได้ส่งสัญญาณเตรียมลดงบดุลในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนพฤษภาคมอีกด้วย

สำหรับความเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์สหรัฐมีความผันผวน ก่อนที่จะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังความต้องการถือเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง ท่ามกลางความหวังการเจรจาสันติภาพ ขณะเดียวกัน ผลการประชุมเฟดไม่ได้ผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY Index) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 98.40 จุด ที่น่าสนใจคือ แม้ว่า เฟดจะมีแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังต่อการเจรจาสันติภาพ แต่ราคาทองคำสามารถรีบาวนด์จากระดับ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ กลับมาสู่ระดับ 1,928 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดทองคำควรระมัดระวังแรงขายทำกำไร หากสถานการณ์สงครามคลี่คลายลงชัดเจน

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามการเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อย่างใกล้ชิด หลังทั้งสองฝ่ายยังคงเดินหน้าการเจรจาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สถานการณ์สงครามและการเจรจายังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง และอาจทำให้ตลาดการเงินยังมีโอกาสผันผวนสูงต่อไปได้ในระยะสั้นนี้

ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น นอกเหนือจากการประชุมเฟดที่ตลาดจะรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางอื่นๆ โดยในฝั่งยุโรป ตลาดประเมินว่า แม้ว่าสงครามอาจสร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แต่ทว่า ปัญหาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นและอาจอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าคาดจะกดดันให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) สามารถขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ได้ ทั้งนี้ BOE อาจสื่อสารกับตลาดว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นกับผลกระทบจากสงครามต่อแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษโดยเฉพาะการเติบโตเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ

ส่วนในฝั่งเอเชีย ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของสงครามจะกดดันให้บรรดาธนาคารกลางในฝั่งเอเชียยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายไปก่อน โดยตลาดคาดว่า ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.125% และ 3.50% ตามลำดับ

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทมองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways และมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ตามภาวะการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินที่อาจหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทยมากขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและค่าเงินบาทยังคงเป็นภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจากผลกระทบของการระบาดโอมิครอนระลอกใหม่ ซึ่งต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ มองว่าแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ใกล้โซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ 33.75) ซึ่งเริ่มเห็นบรรดาผู้ส่งออกมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ส่วนแนวรับสำคัญ จะอยู่ในช่วง 33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยฝั่งผู้นำเข้า รวมถึงผู้เล่นที่เป็นบริษัทต่างชาติต่างรอจังหวะ buy on dip อยู่ในโซนดังกล่าวพอสมควร และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ


กำลังโหลดความคิดเห็น