ราคาน้ำมันขยับลงต่อเนื่องในวันพุธ (16 มี.ค.) นักลงทุนขานรับความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนและข้อมูลคลังปิโตรเลียมสำรองสหรัฐฯ ส่วนวอลล์สตรีททรงตัว และทองคำปิดลบ หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 1.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 95.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 1.89 ดอลลาร์ ปิดที่ 98.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดน้ำมันดิบเบรนต์ดีดขึ้นถึง 28% ใน 6 วัน แต่จากนั้นดิ่งลง 24% ในอีก 6 วันต่อมาจนถึงวันพุธ (16 มี.ค.) ภายใต้ปัจจัยต่างๆ ในนั้นรวมถึงความหวังเล็กน้อยเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน และสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจารื้อฟื้นข้อตกลงในปี 2015 ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน ซึ่งจะเปิดทางให้เตหะรานส่งออกน้ำมันดิบอีกครั้ง หากพวกเขายอมจำกัดความทะเยอทะยานทางนิวเคลียร์
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกฉุดจากความคาดหมายอุปสงค์อ่อนแอในจีน ท่ามกลางการแพร่ระบาดหนักหน่วงขึ้นของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แม้เคสผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มลดลงแล้ว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเพิ่มความหวังแก่นักลงทุนก็ตาม
อีกด้านหนึ่ง คลังน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะลดลง ส่วนสต๊อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิง รัฐโอคลาโฮมา ศูนย์กลางส่งมอบน้ำมันดิบสัญญาเวสต์เทกซัสเพิ่มขึ้นเช่นกัน ช่วยบรรเทาความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับระดับคลังสำรอง ณ ศูนย์ส่งมอบแห่งนี้
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพุธ (16 มี.ค.) ปิดบวกพอสมควร ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยและส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่านี้อาจมีความจำเป็นในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 518.76 จุด (1.55 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 34,063.10 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 95.41 จุด (2.24 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,357.86 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 487.93 จุด (3.77 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,436.55 จุด
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุมในวันพุธ (16 มี.ค.) ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งๆ ละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งหมายความว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทุกครั้งหลังจากนี้ และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00% ในช่วงปลายปี
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2023 แต่จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2024
ถ้อยแถลงของเฟดระบุว่า สงครามในยูเครนและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งในระยะใกล้ ปัจจัยดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และเป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจ แต่การปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นเรื่องที่มีความเหมาะสมในการสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
ความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018 ฉุดให้ราคาทองคำในวันพุธ (16 มี.ค.) ซื้อขายผันผวนก่อนปิดในแดนลบ โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 20.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,909.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์/มาร์เก็ตวอตช์)
