xs
xsm
sm
md
lg

“มนุษย์ค้างคาวหญิงแห่งเมืองจีน” สือเจิงลี่ นักไวรัสวิทยาผู้ตกเป็นเหยื่อทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด? (ตอนที่สอง)

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทีมนักวิทยาศาสตร์จีนได้ค้นพบหลักฐานชัดเจนว่าโควิด-19 มีต้นกำเนิดตามธรรมชาติ และไม่ได้หลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ในภาพ รูปสัณฐานของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนของสถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐฯ (แฟ้มภาพ เอพี)
ไม่เพียงแต่ นางสือเจิงลี่ นักวิจัยแห่งสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นที่ตกเป็นเป้าโจมตีของกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับต้นตอที่ทำให้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ออกมาอาละวาดไปทั่วโลก

สือเจิงลี่ นักวิจัยประจำสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น ฉายา “มนุษย์ค้างคาวหญิงแห่งเมืองจีน” ผู้ตกเป็นเป้าหมายเลขหนึ่งของกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับต้นตกแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์หลายคนก็ตกที่นั่ง “หนังหน้าไฟ”

“โควิด-19 ฉลาดกว่าซาร์ส” นักไวรัสวิทยาจีน เจิง กวง กล่าว

ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์หลายคนจึงหลงกลมัน ตัดสินพฤติกรรมและองค์ประกอบของมันผิดพลาด และได้ข้อสรุปที่ผิด

เหยื่อรายแรกที่ดูเหมือนจะตกหลุมพรางของเชื้อไวรัสจอมเจ้าเล่ห์นี้คือ ดร.เกา ฝู ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคระบาดแห่งชาติจีน โดยเขาแถลงว่าในช่วงแรกๆที่เกิดโรคระบาดฯว่าไม่มีสัญญาณใดบ่งชี้ถึงการติดต่อระหว่างคนสู่คน

ดร.เกา แถลงในที่ประชุมข่าวเมื่อวันที่ 22 ม.ค. ว่านักวิทยาศาสตร์พบเชื้อไวรัสในสัตว์ที่วางขายในตลาดหวาหนัน ดังนั้นฝ่ายจีนจึงสรุป (ในเบื้องต้น)ว่าตลาดหวาหนันเป็นจุดแรกที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19

ทว่า การบังคับใช้มาตรการสกัดโรคระบาดดูจะช้าไป ทั้งการปิดตลาดหวาหนัน การหยุดผู้คนราวห้าล้านคนเดินทางออกจากอู่ฮั่นในช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน การห้ามกิจกรรมสาธารณะต่างๆ

เกา จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และเป็นนักไวรัสวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลกคนหนึ่ง เป็นผู้ที่ออกรบสู้ศึกไวรัสอีโบลาในแอฟริกา แต่เขากลับตกเป็นเป้าโจมตีจากประชาชนที่โกรธแค้นเรื่องประเมินสถานการณ์ผิดพลาด

ในโซเชียลมีเดีย กลุ่มที่ชี้โทษกล่าวหาดร.เกา ต่างเรียกเขาว่า “นักวิชาการกระดาษ” ที่ไม่ทำอะไรนอกจากเผยแพร่ตีพิมพ์ผลงานในวาสารวิทยาศาสตร์

สถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ระดับ P4 ซึ่งเป็นระดับความปลอดภัยทางชีวภาพขั้นสูงที่สุด (แฟ้มภาพจากสื่อจีน)
แต่ใช่ว่าจะมีเพียงกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จีนที่ผิดพลาด กระแสข่าวที่พูดกันอย่างกว้างขวางโดยอ้างอิงวารสารการแพทย์แห่งนิวอิงแลนด์ (New England Journal of Medicine) ระบุว่ากลุ่มนักวิจัยช่วงเยอรมนีรายงานว่าชาวเยอรมนีสี่คนติดเชื้อไวรัสจากหญิงชาวเซี่ยงไฮ้ระหว่างทริปธุรกิจ ตอนนั้นหญิงเซี่ยงไฮ้ไม่มีอาการของผู้ติดเชื้อเลย กรณีฯนี้เองได้ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับ “พาหะไร้อาการ” อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเมืองเบียร์ก็ไม่ได้พูดคุยกับหญิงชาวเซี่ยงไฮ้เกี่ยวกับเรื่องนี้

ต่อมาหน่วยพิทักษ์สุขภาพเยอรมนีได้ติดตามหญิงเซี่ยงไฮ้ผู้นี้ และพบว่าเธอมีอาการระหว่างพักอยู่ในมิวนิกสองวัน กรณีฯนี้สะท้อนการมองข้ามปัญหาของกลุ่มนักวิจัยเยอรมนีที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์อินเดียได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับปริศนาที่ว่าไวรัสกระโดดจากตัวค้างคาวไปสู่คนได้อย่างไร โดยในรายงานฉบับนี้พยายามชี้ว่าการแพร่ระบาดฯครั้งนี้เกิดจาก “น้ำมือมนุษย์” เพราะมันมีองค์ประกอบยีนส์ที่ชี้ว่ามาจากไวรัส HIV อยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ยีนส์ HIV นี้สามารถพบในชีวิตธรรมชาติหลายรูปแบบรวมทั้งไวรัสในค้างคาว แบคทีเรีย และฉลาม แต่ต่อมานักวิจัยอินเดียได้ถอนรายงานฉบับนี้หลังจากที่โดนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมรวมทั้ง ศาสตราจารย์ เดวิด หลิว แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ออกมาโจมตีว่า “เป็นการวิเคราะห์ที่แย่”

ชาวจีนแห่ซื้อยาแผนจีน ซวงหวงเหลียนโข่วฝูเย่ จนเกลี้ยงตลาด ต่อมากลุ่มแพทย์ออกมาแถลงว่ายาแผนจีนฯนี้มีผลข้างเคียง ทำให้สถาบันผู้วิจัยยาตัวนี้ตกเป็น “หนังหน้าไฟ” ถูกโจมตีเละทั้งที่กล่าวชัดเจนว่ายาอยู่ในช่วงทดลองทางคลินิก (แฟ้มภาพจากสื่อจีน)
ขณะเดียวกันกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ยังต้องผจญศึกจากฝั่งมิตรผู้หวังดี อาทิ กรณีสถาบันเซี่ยงไฮ้แห่งมาเทอเรีย เมดิกา (Shanghai Institute of Materia Medica) เผยการค้นพบว่ายาแผนจีน ซวงหวงเหลียนโข่วฝูเย่ (Shuanghuanglian Oral Liquid/双黄连口服液 ) สามารถกำจัดไวรัสในเซลล์มนุษย์โดยเป็นผลการทดลองจากหลอดทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทางสถาบันฯได้ย้ำว่าผลการทดลองนี้เป็นการทดลองเบื้องต้น และกำลังดำเนินการทดลองทางคลินิกเพื่อยืนยันประสิทธิผลของยา

แต่ยักษ์ใหญ่ค่ายสื่อ พีเพิล เดลี่ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รายงานข่าวตีฆ้องร้องป่าวว่า เป็น “ความก้าวหน้าคืบใหญ่” ทำให้ประชาชนแห่ซื้อยาแผนจีน ซวงหวงเหลียนโข่วฝูเย่ จนเกลี้ยงตลาด ต่อมากลุ่มแพทย์ออกโรงวิพากษ์วิจารณ์รายงานฯ และชี้ว่า ซวงหวงเหลียนโข่วฝูเย่ มีผลข้างเคียง ทำให้ประชาชนหันมาโจมตีสถาบันกันเละ

“พวกเราถูกโจมตีเรื่องจรรยาบรรณดั่งห่ากระสุนจากฝั่งมิตรที่อยู่ข้างหลัง” นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมดำเนินโครงการ ครวญ

ภายในห้องทดลองของสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น
ด้านสือ เจิงลี่นักวิจัยแห่งสถาบันไวรัสวิทยาแห่งอู่อั่น และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จีนยังคร่ำเคร่งโครงการวิจัยซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์หลายสาขาเข้าร่วมด้วยช่วยกันเพื่อหาหนทางที่จะเอาชนะโควิด-19 ให้ได้ ต่อกระแสเสียงโจมตีในโลกโซเชียล มีเดีย เธอเพียงโต้ตอบว่า “เวลาของฉันมีไว้ให้กับภารกิจที่สำคัญกว่าเท่านั้น”

ข่าวงานวิจัยล่าสุดที่เผยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ของจีนได้ค้นพบหลักฐานชัดเจนว่าโควิด-19 หรือ SARS-CoV-2 มีต้นกำเนิดตามธรรมชาติ และไม่ได้หลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์

คณะนักวิจัยทำการวิเคราะห์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์หนึ่งชื่อ “อาร์เอ็มวายเอ็น02” (RmYN02) ที่ได้จากค้างคาว และพบว่ามีลักษณะจีโนมหรือข้อมูลทางพันธุกรรมคล้ายกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างมาก

“นัยสำคัญของการค้นพบครั้งนี้คือทำให้ปัญหาต้นกำเนิดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่บางข้อมีความกระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น” สือ เหว่ยเฟิง ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งที่ 1 มณฑลซานตง และผู้นำทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าว

สือกล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้และก่อนหน้านี้ในไวรัสโคโรนาที่ได้จากตัวนิ่มสะท้อนว่าลักษณะทางพันธุกรรมสองประการของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ล้วนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ถือเป็นหลักฐานค้านทฤษฎีไวรัสหลุดจากห้องปฏิบัติการ

ภาพเคปโพสต์ข้อความกล่าวปกป้องสถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่นที่ตกเป็นเป้าโจมตีใหญ่ของทฤษฎีวิพากษ์วิจารณ์ต้นตอปล่อยเชื้อโควิด-19 เขียนว่า เทคโนโลยีขของสถาบันฯเยี่ยมยุทธ์ที่สุดในประเทศจีน  ห้องทดลองเชื้อไวรัสของอู่ฮั่นเป็นห้องทดลองระดับ P4 ซึ่งมาตรฐานความปลอดภัยสูงที่สุด  ทั่วโลกมีห้องทดลองระดับ P4 ในเก้าประเทศเท่านั้น (เท่าที่มีการเปิดเผย) ถือเป็นการวิจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยจากเชื้อไวรัส หากอู่ฮั่นพลาดก็ไม่มีใครที่จะไม่พลาดเช่นกัน

ลิงค์ข่าว: “มนุษย์ค้างคาวหญิงแห่งเมืองจีน” สือเจิงลี่ นักไวรัสวิทยาผู้ตกเป็นเหยื่อทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด? (ตอนที่หนึ่ง)





กำลังโหลดความคิดเห็น