"ไปคนเดียว ไปได้เร็ว, ไปด้วยกัน ไปได้ไกล"
ภาษิตแอฟริกันบทนี้ ดูจะเผยธาตุแท้ภาวะผู้นำต่าง ๆ ในยามวิกฤติได้ไม่มากก็น้อย
การทำตัวเหมือนโจรสลัดยุคใหม่ ขโมยหน้ากากที่ส่งไปให้ชาติต่าง ๆ ในยุโรป และกักตุนยา Hydroxychloroquine (ไฮดรอกซีคลอโรควิน) สื่อหลายชาติ อาทิ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี รายงานข้อกังวลอย่างยิ่งกับสิ่งที่อเมริกาทำในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้
ภายใต้การนำทัพของโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่าละเมิดมนุษยธรรม ปฏิเสธเวชภัณฑ์ไปยังแคนาดา และ #นำรายการยาผู้ป่วยกลุ่มโรคภูมิต้านทานตนเอง (เอสแอลอี) ออกจากบัญชี ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธการจัดหาเครื่องช่วยหายใจ ส่งไปให้กับชาวนิวยอร์ก จนผู้ว่าการนิวยอร์กต้องขอรับการบริจาคจากประเทศจีนโดยตรง
ล่าสุด (6 เม.ย.) ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ ได้กักยาไฮดรอกซีคลอโรวิน 29 ล้านเม็ด ทั้งที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ กับการรักษาโรคโควิด-19 ไม่นานหลังจากที่ทรัมป์แถลง ดร. แอนโทนี่ ฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ ถูกกันไม่ให้ตอบคำถามใด ๆ เกี่ยวกับการใช้ยารายการนี้
เหตุผลที่ผู้อำนวยการสถาบัน ไม่ได้รับอนุญาตให้แถลงฯ นั้น เป็นเพราะยังมีการถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับว่ายาตัวนี้สามารถใช้ในการรักษา Covid-19 ได้หรือไม่ แต่การกักตุนยารายการนี้ จะทำให้ผู้ป่วยกลุ่มโรคเอสแอลอี เหล่านั้นจะไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป
การกลับไปมาแบบนี้ แตกต่างจากที่ทรัมป์เคยอ้างว่า FDA ยังไม่ได้ให้การรับรองไฮดรอกซิลโควีนในฐานะการรักษาโรคโคโรนาไวรัส
ฟาซี ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่เต็มใจที่จะให้คำแนะนำแก่ประธานาธิบดี เนื่องจากมีผู้บริหารที่มีชื่อเสียงหลายคนเคยทำมาแล้ว แต่ทรัมป์เกลียดคนที่คัดค้านเขา ดังนั้นฟาซี จึงถูกบังคับให้หุบปาก
นอกจาก ประเด็นกักตุน Hydroxychloroquine (ไฮดรอกซีคลอโรควิน) ยังมีความจริงที่มืดมนกว่านั้นเกี่ยวกับวิถีอเมริกันในยุคของ Covid-19
ในวันที่ 2 เมษายนมีรายงานว่า“ผู้ซื้อสหรัฐฯ ใช้เงินสดแย่งซื้อ และชิงควบคุมการส่งมอบหน้ากากที่กำลังจะถูกส่งจากจีนไปยังประเทศฝรั่งเศส หนึ่งในพื้นที่วิกฤติโรคระบาดมากที่สุดในยุโรป”
เมื่อวันที่ 3 เมษายน มีหน้ากาก N95 ที่ถูกส่งไปยังเยอรมนีจากจีน กลับถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาแทน ระหว่างการถ่ายโอนเครื่องบินในประเทศไทย
หน้ากากเหล่านี้ มีปลายทางให้กองกำลังตำรวจเบอร์ลิน เยอรมนี ประเทศซึ่งมีผู้ติดเชื้อ มากกว่า 100,000 ราย เป็นอันดับที่สี่ของโลก รองจากอิตาลี สเปน และสหรัฐอเมริกา
พฤติกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งบ่งบอกถึงความไร้จริยธรรมของผู้นำอเมริกา จนดูเหมือนว่าชาวอเมริกันไม่สนใจว่าคนอื่นต้องทนทุกข์ทรมาน ในขณะที่พวกเขามีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิ์ผู้ป่วยโรคอื่นฯ (ตราบใดที่พวกเขาไม่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันตนเอง) และความเสียหายของส่วนที่เหลือของโลก
ทรัมป์ ยังถูกกล่าวหาจากผู้นำมลรัฐฯ ในประเทศตนเอง ด้วยการไม่ยอมสนับสนุนเครื่องช่วยหายใจกับนครนิวยอร์กซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมาก
นายแอนดรู คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าว (26 มี.ค.) ว่า นิวยอร์กจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอย่างน้อย 30,000 เครื่อง เพื่อตอบสนองต่อจุดสูงสุดของการระบาดซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในสองสัปดาห์
สื่อรายงานคำกล่าวของทรัมป์ ว่า "ผมไม่เชื่อว่านิวยอร์กต้องการเครื่องช่วยหายใจ
30,000 หรือ 40,000 เครื่อง”
หน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉินของรัฐบาลกลาง ส่งมอบเครื่องช่วยหายใจเพียง 400 เครื่อง แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลกลางจะประกาศในวันต่อมาว่าจะส่งมอบอีก 4,000 เครื่อง แต่เจ้าหน้าที่ของเมืองและรัฐกล่าวว่าพวกเขาต้องการมากกว่านั้น
“ผมจะทำอย่างไรกับเครื่องช่วยหายใจ 400 เครื่อง เมื่อผมต้องการ 30,000 เครื่อง” กูโม่โม่ถามผู้สื่อข่าวด้วยความโกรธ กล่าวหา “การไม่ให้ความสำคัญกับปัญหา”
“คุณต้องเลือกให้ใครตาย คนอีก 26,000 คนจะตาย เพราะคุณส่งเครื่องช่วยหายใจ ให้ 400 คนเท่านั้น” เขากล่าว
ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลกลางไม่สามารถรับรองผู้ว่าการรัฐว่า จะสามารถส่งมอบเวชภัณฑ์เพียงพอ นิวยอร์กจึงได้ขอบริจาคจากจีน ซึ่งตอบสนองส่งมอบให้ชาวนิวยอร์กเบื้องต้นแล้ว 1,000 เครื่อง
โคโรนาไวรัส กำลังสอนบทเรียนธรรมชาติด้านมืดของมหาอำนาจ การที่สหรัฐฯ สั่งบริษัทอเมริกันไม่ให้เวชภัณฑ์แก่แคนาดาหรืออเมริกาใต้ จะมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนในสหรัฐอเมริกา นั่นคือข้อเท็จจริงที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เคยเข้าใจและมีแนวโน้มที่จะไม่สนใจ
การขโมยหน้ากากจากฝรั่งเศสหรือจากเยอรมนี หรือแม้กระทั่งการการขัดขวางอันมิชอบด้วยกฎหมายของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้คิวบาไม่ได้รับเวชภัณฑ์ที่มูลนิธิอาลีบาบาส่งมาช่วยคิวบาต่อสู้กับโรคโควิด-19 จนถูกมิเกล ดิอัซ-กาเนลประธานาธิบดีคิวบาออกมาประณามเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นความไร้สำนึกและความมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่ซึ่งผู้นำโลกพึงมี พึงเป็น
ไวรัสฯ ไม่ได้ตรวจสอบสัญชาติมหาอำนาจก่อนการแพร่ระบาด ผู้นำมหาอำนาจที่ไม่มีวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต จะไม่สามารถเป็นผู้นำมหาอำนาจ ที่โลกจะคาดหวังอะไรได้จริงๆ
ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ของสหรัฐคือ กลุ่มคนที่ล้อมรอบประธานาธิบดี จะสามารถปลุกเขาให้รู้ตัว และเตือนให้เขารู้ว่า สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นแกนโลกที่ทำราวกับว่าสหรัฐฯ ไปคนเดียวแล้วจะรอดได้เพียงลำพัง
ทว่าโลกไม่มีเวลาสำหรับกล่าวโทษกันแล้ว วิกฤตไวรัสระบาดใหญ่นี้ทุกประเทศเป็นเหมือนฟันเฟืองของกันและกัน เพื่อจะมีชีวิตรอดจากการทำลายล้างแห่งทูตมรณะที่โลกกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะมียามหัศจรรย์หรือไม่ - ความมุ่งหวังที่ผู้นำจำเป็นต้องมี คือ ต้องคิดในระดับเดียวกับไวรัสฯ "ทุกชาติพันธุ์มนุษย์บนโลกนี้ต่างเสมอภาคกัน"