xs
xsm
sm
md
lg

สืบวิญญาณนานกิง เปิดหอรำลึกเกียรติ ไอริส จาง ที่เจียงซู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อนุสรณ์สถานนี้ เป็นสถานที่แรกที่สร้างเพื่อรำลึกถึงไอริส จาง และเป็นสถานที่สำคัญที่สองที่สร้างเพื่อรำลึกเหตุการณ์นานกิง (ภาพ mercurynews.com)
เอเจนซี / MGR Online - นับต้งแต่ที่ ไอริส จาง ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ผู้ศึกษาวิจัย และเขียนหนังสือ เรื่อง สังหารโหดที่นานกิง ได้เสียชีวิตจากการสังหารตัวเองด้วยลูกปืน! เมื่อวัย 36 ปี แต่ดวงวิญญาณของเธอยังคงอยู่เพื่อบอกเล่าความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ของกองทัพญี่ปุ่นด้วยหน้งสือประวัติศาสตร์ ‘The Rape of Nanking’

และแม้เธอจะจากไปแล้ว แต่ล่าสุด มรดกของเธอได้รับการสืบทอด ด้วยเมืองหวยอัน มณฑลเจียงซู ได้สร้างหอรำลึกเกียรติ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่ไอริส จาง ซึ่งจะเป็นที่รวบรวมผลงาน ภาพถ่ายและเอกสารสำคัญต่างๆ ที่จางใช้ในการค้นคว้าเขียนหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ ไว้ทั้งหมด

อิ่ง อิ่ง จาง มารดาของไอริส จาง อดีตนักวิจัยด้านจุลชีววิทยา ปัจจุบันเกษียณ และใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าการก่อสร้างหอรำลึกนี้ใช้เวลานานสองปี โดยเธอได้ร่วมนำเอกสารต่างๆ มากกว่า 100 รายการมาเก็บไว้ที่สถานที่นี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสมุดบันทึกเก่า จดหมาย ไปจนถึงเสื้อผ้าของเธอ โดยอนุสรณ์สถานแห่งนี้ แบ่งออกเป็น 6 ส่วน แต่ละส่วนจะแสดงถึงชีวิตของจาง ซึ่งชีวิตของเธอ เหมือนเกิดมาเพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้

อนุสรณ์สถานนี้ เป็นสถานที่แรกที่สร้างเพื่อรำลึกถึงไอริส จาง และเป็นสถานที่สำคัญที่สองที่สร้างเพื่อรำลึกเหตุการณ์นานกิง
ไอริส จาง (1968 - 2004)
เลี่ยวหวั่งตงฟางโจวคัน(Oriential Outlook )/เอเจนซีส์/เว็บไซต์ชีวประวัติไอริส จาง รายงานประวัติของ ไอริส จาง ว่า เป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน เกิดเมื่อปี 1968 ในพรินซีตัน นิวเจอร์ซีย์ มีชื่อจีนว่า จางฉุนหยู (张纯如)พ่อแม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ ปู่และย่าเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง

ไอริส จางเติบโตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม เป็นนักค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่ขยันขันแข็ง ฉลาดปราดเปรื่อง จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาหนังสือพิมพ์ จากมหาวิทยาลัยแห่งอิลินอยส์ปี 1989 และได้เป็นผู้สื่อข่าวในช่วงเวลาสั้นๆที่ชิคาโก ทรีบูน และสำนักข่าวเอพี จากนั้น ก็ศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านการเขียนที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ ปี 1990 จากนั้น ก็ยึดถืออาชีพเขียนหนังสือ และสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย เขียนบทความให้กับนิวยอร์กไทมส นิวสวีค ลอสแองเจลิสไทมส์ เป็นต้น

เธอได้แต่งงานกับดักลัส มีบุตรชาย 1 คนคือคริสโตเฟอร์ (ตอนที่จางเสียชีวิต หนูน้อยคริสโตเฟอร์อายุเพียง 2 ขวบ) ชีวิตของไอริส จาง นับเป็นชีวิตที่มีความสุข เป็นที่อิจฉาของผู้คน จากการที่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด สวยงาม เป็นภรรยาที่แสนดีแม่ที่น่ารัก ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน ได้รับการยกย่องเป็นนักประวัติศาสตร์แถวหน้าและนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษย์ชน เป็น ‘แบบอย่างของหนุ่มสาวเชื้อสายจีนในสหรัฐฯ’

ฝันร้ายเริ่มคุกคามไอริส จาง เมื่อเธอได้ตั้งปณิธานมั่นว่า จะตีแผ่เหตุการณ์ที่กองทัพญี่ปุ่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่หนันจิง อันเป็นบ้านเกิดของปู่และย่า ปณิธาณนี้ของเธอเริ่มเพาะตัวตั้งแต่วัยเด็กเมื่อปู่ได้เล่าประสบการณ์ชีวิตขณะเผชิญกับสงครามในหนันจิง เด็กหญิงไอริสได้ฟังเรื่องจริงที่แสนหฤโหดจากปู่ว่า “ทหารญี่ปุ่นได้หั่นเด็กทารกเป็น 3 ท่อน เอาผู้ชายมาฝึกฝนการต่อสู้ด้วยดาบ จับผู้หญิงตั้งครรภ์มาแหวกท้อง ลำน้ำในเมืองหนันจิงกลายเป็นสีเลือด...”

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าสยดสยองเหลือเชื่อจากปู่ เธอก็ได้ไปที่ห้องสมุดของโรงเรียน หมายจะค้นหนังสือที่บันทึกประวัติศาสตร์กองทัพญี่ปุ่นบุกหนันจิงเพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่ปู่ย่าเล่าให้ฟัง แต่ก็หาไม่มีสักเล่ม ต่อมาในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1994 ไอริสได้เห็นภาพถ่ายเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง เป็นครั้งแรก ในงานแสดงภาพถ่ายที่จัดแสดงที่ซิลลิคอนวัลเลย์ ภาพความโหดร้ายสุดขีดของมนุษย์ สร้างความตกตะลึง โกรธแค้นเดือดพล่านอย่างไม่อาจบรรยาย เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิงเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1937 เนินนานมากระทั่งใกล้ครบรอบ 60 ปีของเหตุการณ์ฯแล้ว (ในขณะนั้น) ทว่า มีเพียงหนังสือที่ไม่ใช่เรื่องแต่งที่เป็นภาษาอังกฤษเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ที่บอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ นอกไปจากนี้แล้ว ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์สั่นสะเทือนมนุษย์ชาติครั้งใหญ่ในหนันจิงที่เผยแพร่ในระดับสากลเลย

ช่วงเวลา 2 ปี หลังจากนั้น ไอริสจึงได้เดินทางไปยังแห่งที่ต่างๆทั่วโลก ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิง เธอได้รวบรวมเอกสารข้อมูลที่เป็นภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ ตลอดจนสมุดบันทึกประจำวันอีกจำนวนมาก จดหมาย หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ในจำนวนนี้ มีเอกสารชิ้นสำคัญคือ สมุดบันทึกของสมาชิกนาซีแห่งเยอรมันจอห์น ราเบ้ (John Rabe)* ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์สงครามในหนันจิง สมุดบันทึกเล่มนี้ ได้รับสมญาว่า ‘ฮิตเลอร์แห่งประเทศจีน’
ป้ายหลุมฝังศพของไอริส จาง ที่ลอส อัลโทส
The Rape of Nanking-The Forgotten Holocaust of World War ll เริ่มวางตลาดในปี 1997 นับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่หนันจิงพากษ์ภาษาอังกฤษเล่มแรก และทำให้โลกตะวันตกได้เข้าใจอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่นที่หนันจิงอย่างรอบด้านเป็นครั้งแรก หนังสือได้รับการต้อนรับถึงขั้นติดอันดับหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของนิวยอร์กไทมส์เป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ทำสถิติยอดขายราว 100,000 เล่ม ได้รับการตีพิมพ์ 12 ครั้ง (ข้อมูล ปี 2004)

หลังจากที่ ‘The Rape of Nanking’ วางตลาด ไอริส จางได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งว่า “นี่เป็นหนังสือที่ฉันไม่เขียนไม่ได้ การเขียนของฉันมาจากความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรม แม้ไม่ได้เงินแม้สตางค์เดียว ฉันก็ไม่สนใจ ฉันต้องการให้โลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่หนันจิงเมื่อปี 1937 สำหรับฉัน นี่คือ สิ่งสำคัญ”

ในทางกลับกัน ไอริส จางต้องจ่ายราคามหาศาลในการเขียน ‘The Rape of Nanking’ นั่นคือ สภาพร่างกาย และจิตใจของเธอเสื่อมโทรมลงอย่างหนัก ระหว่างการเขียนนี้ เธอมักมี ‘อาการโกรธจนตัวสั่น นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ ผมร่วงมากผิดปกติ’ กระทั่งถูกวินิจฉัยเป็นโรคจิตวิตกกังวลหวาดกลัว และต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 5 เดือนในระหว่างที่เธอกำลังเขียนหนังสือเล่มที่สี่ ซึ่งเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน

หลังจากที่ ‘The Rape of Nanking’วางตลาด กลุ่มฝ่ายขวาในญี่ปุ่นได้ตามก่อกวนเธอ ด้วยการโทรศัพท์ ส่งจดหมายข่มขู่ หลายครั้ง เธอต้องเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์หลายครั้ง ไม่กล้าโทรศัพท์ ไม่กล้ารับการสัมภาษณ์ใดๆ เป็นต้น กระนั้น ไอริส จางยังคงเชิดหน้า กล่าวอย่างสงบและไร้ความกลัวใดๆว่า “การลืมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งสอง”

ชาวจีนคนหนึ่งกล่าวว่า “ไอริส จาง ‘เพียงหนึ่งคน’ ได้รับภาระความรับผิดชอบแทนพวกเราทั้งหมด ในการบรรลุสิ่งที่พวกเรายังไม่ได้บรรลุในตลอด 60 ปีที่ผ่านมา”
รูปปั้นของไอริส จางที่นานกิง
ติงหยวนเพื่อนสนิทของไอริส จางเล่าว่า ไอริสมักระบายความคับแค้นต่อเหตุการณ์โหดร้ายน่าเศร้าสลดว่า “ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบนโลกนี้? ทำไมคนจึงทำเช่นนี้ได้” --นับเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ และไอริส จางคงอยากให้ชาวโลกช่วยกันตอบคำถามเพื่อหยุดความเกลียดชัง การทำร้าย เข่นฆ่าชีวิต เรียนรู้บทเรียนเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่า ซึ่งจะทำให้การบันทึกประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดโศกนาฏกรรมของมนุษย์ชาติ ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ อย่าให้ไอริส จางผู้งดงามสูญแรงเปล่าเลย.

ไอริส จาง กล่าวในการสัมภาษณ์ทางวิทยุในปี 1998 ระหว่างทัวร์เปิดตัวหนังสือว่า ต้องการให้เรื่องราวหลั่งเลือดของชาวนานกิงนี้ ไหลซึมเข้าไปในจิตสำนึกผู้คน และหากเราไม่เรียนรู้เพื่อเข้าใจประวัติศาสตร์นี้อย่างตรงไปตรงมา เราก็คงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก
‘The Rape of Nanking’ ได้รับการต้อนรับถึงขั้นติดอันดับหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของนิวยอร์กไทมส์เป็นเวลานานถึง 14 สัปดาห์ ทำสถิติยอดขายราว 100,000 เล่ม ได้รับการตีพิมพ์ 12 ครั้ง และ (ภาพซ้าย) The Chinese in America ที่ออกในปี 2003

กำลังโหลดความคิดเห็น