ทรีนีตี้ ประเมินดัชนีหุ้นไทย มิ.ย. ผันผวนออกด้านข้างในกรอบ 1,530-1,600 ต่อเนื่อง แม้ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ส่วนใหญ่ไหลเข้าพันธบัตร เชื่อแบงก์ชาติจัดการได้ ประเมินธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยกลางเดือนนี้ ไม่ส่งผลกระทบ เหตุตลาดรับรู้แล้ว แนะซื้อขายตามกรอบเน้นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ประเมินการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเดือนมิถุนายนนี้ จะยังคงแกว่งตัวไซด์เวย์ออกด้านข้างต่อไปในกรอบ 1,530-1,600 จุด แม้ว่าปัจจุบัน ค่าเงินบาทจะแข็งค่าค่อนข้างมาก แต่เป็นการแข็งค่าจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตร โดยเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงบริหารจัดการค่าเงินบาทในช่วงระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้น ถูกจำกัดด้วยพื้นฐานกำไรที่ไม่ได้เติบโตมากตามราคาหุ้นที่สูงอยู่
ดังนั้น กลยุทธ์จึงแนะนำให้ซื้อที่บริเวณแนวรับ 1,530-1,540 จุด และขายที่บริเวณแนวต้าน 1,590-1,600 จุด
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในเดือนมิถุนายน ประกอบด้วย การเลือกตั้งทั่วไปของประเทศอังกฤษในวันที่ 8 มิถุนายน ซึ่งล่าสุด โพลสำรวจบ่งชี้ว่า พรรคอนุรักษ์นิยมที่นำโดยนายกรัฐมนตรีคนเก่า นางเทเรซา เมย์ มีคะแนนนำพรรคแรงงาน อยู่ประมาณ 10% หากผลออกมาในกรณีจริง คาดว่าจะทำให้กระบวนการนำอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) มีแนวโน้มเป็นไปอย่างราบรื่น และน่าจะทำให้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกอยู่ในเกณฑ์ดีต่อไป
ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 13-14 มิถุนายน คาดการณ์ว่า จะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.00-1.25% และประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังไม่มีการให้รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นการลดขนาดงบดุล (Balance sheet) ดังนั้น จึงไม่น่าจะมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยนั้น เป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้ไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการพิจารณาของ MSCI ในวันที่ 20 มิถุนายน ว่า จะนำหุ้นจากดัชนี A-Shares ของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณดัชนี MSCI EM หรือไม่ เนื่องจากอาจจะมีผลกระทบต่อการปรับลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยได้บ้าง แต่หากเกิดขึ้นจริง ก็ไม่น่าจะมีนัยสำคัญมากนัก โดยคาดว่า น้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI EM จะถูกปรับลดลงเพียงแค่ 0.01% จากปัจจุบัน ที่อยู่ที่ระดับ 2.2% หรือคิดเป็นเม็ดเงินไหลออกเพียงราว 5,000 ล้านบาท เท่านั้น
“ปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยอยู่บริเวณ 1,560 จุด ซึ่งอยู่ในระดับกึ่งกลางจากกรอบบน และกรอบล่างของเรา เราจึงยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน หรือลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นในทางใดทางหนึ่ง แนะนำถือหุ้นประมาณ 50% ของพอร์ตในเวลานี้ พร้อมเลือกถือหุ้นที่น่าสนใจเป็นรายกลุ่มไปก่อน”
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนมิถุนายน ประกอบด้วย กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับสภาวะตลาดเวลานี้ที่มีความผันผวนต่ำ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีรายได้มั่นคง และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง โดยแนะนำ BCPG, EGCO, RATCH กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าพื้นฐานน่าสนใจ เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว แนะนำหุ้น SCB, TCAP, TISCO กลุ่มบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปลายน้ำ ที่เริ่มเห็นการปรับตัวของ Spread ที่ดีขึ้น ได้แก่ AJ, PTL, VNT, UTP
นอกจากนี้ ยังสามารถที่จะดักซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มถูกนำเข้าสู่การคำนวณดัชนี SET50 ในรอบถัดไป แต่ต้องเลือกหุ้นที่ราคายังไม่ปรับขึ้นมากนัก ได้แก่ BPP, JAS