เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - รัฐบาลไทเปขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “มุ่งลงใต้” เตรียมรับนักศึกษาอาเซียนหกหมื่นคนภายในปี 2562 หวังสร้างสะพานเชื่อมสัมพันธ์นำไปสู่การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการพึ่งพาจีนแผ่นดินใหญ่
“เราหวังว่าการดำเนินโครงการนี้จะช่วยขยับขยายการสื่อสารระดับทวิภาคี และแบ่งปันทรัพยากรกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)” หยัง หมินหลิง ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาข้ามช่องแคบและระหว่างประเทศ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวเมื่อไม่นานนี้
“กระทรวงฯ ได้จัดเตรียมงบประมาณกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ไต้หวัน สำหรับสนับสนุนโครงการซึ่งเราเชื่อว่าไม่เพียงช่วยแสวงหาผู้มีความสามารถมาสู่เกาะไต้หวัน แต่ยังช่วยทลายกำแพงความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมระหว่างกันอีกด้วย”
หยังระบุว่า นอกจากเสนอทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือด้านอื่นๆ แล้ว กระทรวงฯ ยังจะช่วยหางานในไต้หวันให้กับกลุ่มนักศึกษาเพื่อบ่มเพาะทักษะประสบการณ์ เมื่อคนเหล่านี้กลับบ้านเกิดเมืองนอนก็จะกลายเป็นสะพานเชื่อมไต้หวันกับประเทศต่างๆ
“กระทรวงฯ จะช่วยพาเด็กๆ มากกว่าหนึ่งหมื่นสองพันคน ซึ่งเป็นลูกหลานของผู้อพยพรุ่นสองกลับไปยังประเทศต้นกำเนิดบุพการี เพื่อเข้าร่วมการศึกษาเล่าเรียน การฝึกฝน หรือการทำงานในระยะสั้นๆ”
ทั้งนี้ ไต้หวันมีการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจอย่างแข็งขันกับจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงที่นายหม่า อิงจิ่ว จากพรรคก๊กมินตั๋ง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างปี 2551 จนถึงช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ผู้สืบทอดอำนาจอย่างนางไช่ อิงเหวิน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ซึ่งส่งเสริมการแยกตัวเป็นอิสระจากจีน กลับมองว่าไทเปพึ่งพิงปักกิ่งมากเกินไป
นโยบายมุ่งลงใต้ของรัฐบาลพรรคดีพีพีจึงมุ่งเสาะหาความร่วมมือด้านการลงทุนระดับทวิภาคี การเยี่ยมเยือนระหว่างของเจ้าหน้าที่ระดับสูง และการแบ่งสันปันส่วนทรัพยากรอันมีค่า โดยครอบคลุมสิบหกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย
อย่างไรก็ดี นักกฎหมายจากพรรคก๊กมินตั๋งออกมาวิจารณ์ว่า แผนการรับนักศึกษาฯ ต้องใช้เวลานานอย่างน้อยนับสิบปีกว่าจะผลิดอกออกผลให้เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งขัดกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ไทเปกำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่มีความร่วมมือกับปักกิ่ง
ขณะที่จำนวนนักศึกษาจีนแผ่นดินใหญ่ที่เดินทางมาเรียนระดับปริญญาในไต้หวันก็ลดลงกว่าร้อยละหกเมื่อเทียบปีต่อปี เหลืออยู่ราวเก้าพันคนนับตั้งแต่นางไช่นั่งเก้าอี้ผู้นำในเดือนพ.ค. ซึ่งน้อยกว่าช่วงที่หม่าเป็นประธานาธิบดีถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคน โดยเจ้าหน้าที่คาดว่าปริมาณนักศึกษาอาเซียนอาจแซงหน้านักศึกษาจีนอย่างชัดเจนในอีกสามปีข้างหน้า