xs
xsm
sm
md
lg

ชี้สัมพันธ์สองมหาอำนาจเศรษฐกิจยุค “โดนัลด์ ทรัมป์” การค้าจีน-ฮ่องกงอาจชนกำแพงกีดกันการค้า การฟื้นตัวเศรษฐกิจสะดุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรัตน์ ปรีชาธรรม

หนังสือพิมพ์จีนภาพปกรูปว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมพาดหัวข่าว “ประธานาธิบดีทรัมป์เขย่าอเมริกา” บนแผงขายหนังสือในกรุงปักกิ่ง โดยมีธนบัตร 100 หยวนของลูกค้าที่มาซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือวางปกปิดอยู่บางส่วน (ภาพ เอเอฟพี)
MRG ONLINE--“ฮือ…อ...อ! กันไปทั่วพิภพ เมื่อนาย โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 70 ปี ผู้แทนจากพรรครีพับลิกัน คว้าชัยชนะศึกเลือกตั้งประมุขแดนพญาอินทรี เตรียมขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 พร้อมด้วยพลังเสียงที่เหนียวแน่นทั้งในสภาสูงและสภาล่าง เนื่องจากสมาชิกรีพับลิกันโกยเสียงส่วนใหญ่ไป

ด้านมหาอำนาจโลกตะวันออก ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ก็ออกโรงแสดงความยินดีแก่ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ พร้อมสำทับว่าในฐานะมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก ที่สหรัฐฯครองแท่นอันดับหนึ่งและจีนจ่อหลังอยู่อันดับสองนั้น จะต้องแบ่งปันความรับผิดชอบในการส่งเสริมการพัฒนาและความรุ่งโรจน์ของโลก

ด้านทรัมป์ กล่าวในการประกาศชัยชนะการเลือกตั้งฯว่า “อเมริกาจะจับมือกับชาติต่างๆทั้งหมด ผมขอบอกกับประชาคมโลกไว้ว่าขณะที่มุ่งผลประโยชน์สหรัฐฯมาก่อนอันดับแรก เราก็ยังจะปฏิบัติกับทุกๆคนอย่างยุติธรรม”

ขณะที่ฝุ่นยังตลบฟุ้งจากความรู้สึกอารมณ์ที่เร่าร้อนต่อชัยชนะของทรัมป์ ผู้ปลุกกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์และกระแสต่อต้านกลุ่มอำนาจเดิม กลุ่มนักวิเคราะห์ก็ได้แต่พยากรณ์จากสิ่งที่ทรัมป์เคยพูดถึงจีนในช่วงก่อนหน้านี้ นั่นคือนโยบายกีดกันการค้า ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจการค้าของจีนและโดยเฉพาะฮ่องกงที่ตกอยู่ในภาวะชะลอตัว และในวันอังคารที่ผ่านมา สำนักสถิติแห่งรัฐจีนเพิ่งแถลงตัวเลขส่งออกและนำเข้าจีนประจำเดือนต.ค. ตกต่ำเกินกว่าที่คาด โดยกิจการส่งออกตกลง 7.3 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดนำเข้าหดหายไป 1.4 เปอร์เซ็นต์ กระตุ้นความวิตกกลัวว่าสถานการณ์เศรษฐกิจที่ฉายแววการฟื้นตัวอย่างกว้างขวางได้ไม่ทันไร ก็จะมีอันสะดุดกึกลง

ทรัมป์ได้โจมตีการค้าที่ไม่ยุติธรรมระหว่างเดินสายหาเสียงเลือกตั้ง และบอกว่าเขาจะตีตราว่าจีนแทรกแซงค่าเงินหยวน และจะโต้ตอบด้วยมาตรการภาษี โดยจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 45 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกลุ่มสินค้าจากจีนที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ

ในการโต้วาทีรอบแรกของผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ทรัมป์ได้พูดอีกว่า “คุณดูสิ จีนทำอะไรกับประเทศของเรา...พวกเขาลดค่าเงินของตัวเอง และไม่มีใครในรัฐบาลของเราลุกขึ้นสู้ตอบโต้เลย พวกเขาใช้เงินจากกระปุกออมสินของเราไปสร้างประเทศจีน”

และทัศนะดังกล่าวก็ได้รับการรับรองจากผู้ออกเสียงอเมริกัน
นักแสดงริมถนนแต่งกายเป็น “เทพีเสรีภาพ” ถือภาพคู่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนางฮิลลารี่ คลินตัน กลางย่านศูนย์กลางการเงินในฮ่องกงเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2559 หลังจากที่ทรัมป์ชนะศึกเลือกตั้ง (ภาพ รอยเตอร์ส)
จากการวิเคราะห์ของนาย เควิน ไหล (Kevin Lai) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำกองเอเชียของ ไดวา แคปิตัล มาร์เก็ตส์ (Daiwa Capital Markets) บอกกับสื่อฮ่องกง เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ว่า คำกล่าวข้างต้นของทรัมป์จะกระทบต่อเศรษฐกิจจีนที่ยังพึ่งพิงการส่งออกอยู่ และจะพ่นพิษใส่ฮ่องกงอ่วมเนื่องจากเศรษฐกิจดินแดนยังขึ้นกับการส่งออกอยู่สูง

นายไหลเขียนในรายงานก่อนหน้านี้ว่า “หากมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 45 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ยอดมูลค่าการส่งออกสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 420,000 ล้านเหรียญสหรัฐในแต่ละปี ซึ่งจะหั่นจีดีพีจีนลง 4.82 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสียน้ำเลี้ยงจีดีพีหรือการชะลอตัวของจีดีพีในระดับนี้ จะทำให้เศรษฐกิจโงนเงนน่าวิตกไม่น้อยเลย

หากสงครามการค้าระเบิดขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อฮ่องกงที่เป็นเขตเศรษฐกิจที่เสรีที่สุดในโลก ไม่เพียงภาคการค้าและโลจิสติกส์ ยังลามไปยังภาคอื่นๆด้วย

“เมื่อกระแสวิตกลัทธิกีดกันการค้าของทรัมป์แผลงฤทธิ์ และความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯแย่ลง ก็จะจุดชนวนความวุ่นวายในตลาดเงินโลก ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อภาคการเงินและตลาดอสังหาริมทรัพย์ฮ่องกง” เจ้าหน้าที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งโนมูระ ระบุไว้ในรายงานก่อนประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ผลกระทบดังกล่าวจะลามไปถึงภาคอุตสาหกรรม

ในปีที่แล้ว (2015) การส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ สินค้าจากภาคสิ่งทอประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์, ยาง 21 เปอร์เซ็นต์ และสินค้าที่มีฐานจากภาคโลหะ 13 เปอร์เซ็นต์

“กลุ่มผู้ส่งออกอย่างเช่นบรรดาบริษัทสิ่งทอ และภาคเหล็กที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง จะบาดเจ็บกันระนาว” ฮันน่าห์ หลี่ (Hannah Li) นักวางแผนยุทธศาสตร์ของ บริษัทหลักทรัพย์ UOB Kay Hian กล่าวพร้อมชี้ถึงสัญญาณเตือนภัยในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆที่จะโดนหางเลขจากกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

ผลการเลือกตั้งประมุขแดนอินทรีหนนี้ พรรครีพับลิกันยังได้กุมเสียงใหญ่ทั้งในสภาซีเน็ตและสภาผู้แทนฯ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกลุ่มหัวเก่าในรีพับลิกัน ที่สนับสนุนการค้าเสรีมากกว่า แฟรงค์ ลี (Frank Lee) หัวหน้าหน่วยการลงทุนของ DBS ชี้ และเขาคิดว่ากลุ่มหัวเก่านี้จะช่วยสกัดทรัมป์ดำเนินนโยบายอย่างดุเดือดดั่งที่เขาลั่นไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทุกคนก็มีท่าที “รอและดู” มากกว่า ว่าทรัมป์จะดำเนินมาตรการที่ก่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามที่เขาประกาศในตอนหาเสียงฯหรือไม่ จาง อี่ว์ ผู้ช่วยอาจารย์ด้านการบริหารจัดการที่วิทยาลัยธุรกิจระหว่างประเทศจีน-ยุโรป (China European International Business School) กล่าว

นาย จาง อี่ว์ ยังชี้ว่า “ขณะนี้จีนกำลังปฏิรูประบบเศรษฐกิจ โดยหันมาผลักดันการบริโภคภายในขึ้นมาเป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจ และลดพึ่งพิงการส่งออกหรือการผลิต ซึ่งจะช่วยเพลาผลกระทบหากอเมริกันหันมาใช้ลัทธิกีดกันการค้ามากขึ้น”

อีกด้าน นาย หม่า เจิ้งกัง อดีตประธานสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศแห่งจีน (China Institute of International Studies) ออกมากล่าวแนวโน้มในเชิงบวกโดยอ้างประสบการณ์ของตนที่ได้ติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯตั้งแต่ช่วงปีทศวรรษ 1980 “ไม่ว่าใครจะครองทำเนียบขาว และคองเกรส ความสัมพันธ์ชิโน-สหรัฐฯก็ยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคงมาตลอดหลายปี โดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถปล่อยให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีตกอยู่ในสภาพเสี่ยงอันตราย เนื่องจากทั้งสองฝ่ายจะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหวกัน

อีกด้านหนึ่ง นาย จู จื้อจวิน อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย บัคเนลล์ เพ็นซิลวาเนียชี้ ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ไม่ใช่ภารกิจสำคัญอันดับแรกของทรัมป์ หะแรก เขาจะต้องยุ่งอยู่กับการสะสางปัญหาภายในก่อน พร้อมๆไปกับการตรวจสอบและสร้างหลักประกันในการรักษาพันธมิตรสหรัฐและคู่หุ้นส่วนในโลกอันแสนวุ่นวายใบนี้

“นโยบายจีนของทรัมป์ไม่มีความชัดเจนใด ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าเขาไม่มีประสบการณ์ในการติดต่อกับจีนนัก ไม่มีเรื่องประทับใจติดใจเกี่ยวกับจีน” นาย จูกล่าว แต่ก็เตือนว่า “จีนอาจกลายเป็นแพะรับบาปหากประธานาธิบดีใหม่ไม่สามารถจัดการปัญหาภายในได้อยู่หมัด เป็นไปได้ว่าหากเศรษฐกิจไม่กระเตื้อง รัฐบาลสหรัฐฯก็จะมองหาแพะในจีน และความสัมพันธ์ก็จะตึงเครียดขึ้นมา”


กำลังโหลดความคิดเห็น