เอเจนซี - หนาหูมากขึ้นทุกที กับการพูดถึงเค้าลางวิกฤติเศรษฐกิจจีน ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ อีกทั้งเฝ้ามองการขยับมาตรการการเงินเพื่อจัดการเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศของรัฐบาลจีน การกอบกู้ตัวเลขเศรษฐกิจนำเข้า-ส่งออกที่ตกฮวบต่ำหนักกว่าคำทำนายฯ และการปล่อยเงินกู้มหาศาลครั้งล่าสุด
รายงานข่าวกล่าวว่า เพื่อช่วยอัดฉีดเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวครั้งล่าสุด ที่มีอัตราขยายแค่ร้อยละ 6.9 ในปีที่แล้ว (2558) ซึ่งถือว่าตกต่ำที่สุดในรอบ 25 ปี กลุ่มธนาคารจีนได้ปล่อยเงินกู้ระลอกล่าสุดระหว่างเดือนม.ค. มากถึง 2.51 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าของเดือนธ.ค. และตัวเลขยอดปล่อยกู้นี้ยังสูงเกินคาดการณ์ของกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่ให้ไว้ในการสำรวจของรอยเตอร์ส ด้วยประเมินยอดปล่อยสินเชื่อในเดือนม.ค.ของจีน ไว้ที่ระดับ 1.8 ล้านล้านหยวน การปล่อยกู้รอบล่าสุด ยังทำลายสถิติการปล่อยกู้ในครั้งวิกฤตการเงินปีพ.ศ. 2552 ที่เคยอัดฉีดสินเชื่อสำหรับชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนั้น 1.89 ล้านล้านหยวนในเดือนมี.ค. ปีพ.ศ. 2552
การปล่อยกู้จากธนาคารรอบนี้ ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนที่อ่อนค่าอยู่ ขณะเดียวกัน โอกาสเสี่ยงว่าจะเกิดหนี้เน่าก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้นจนน่าวิตก
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับดูแลภาคธนาคารจีน ระบุว่าร้อยละ 1.67 ของสินเชื่อในปลายปี เป็นหนี้เสีย โดยมีอัตราสูงจากระดับร้อยละ 1.25 ของเมื่อปีที่แล้ว ข้อมูลหน่วยงานรัฐฯ ระบุว่า กลุ่มธนาคารปล่อยกู้จีนมีหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ ในอัตราสูงที่สุดนับจากเดือนมิ.ย. 2552 ในแง่ของมูลค่าฯ และการสั่งสมปัญหาหนี้เน่าของธนาคารจีน ณ ปลายปี 2558 นั้น ทุบสถิติสูงในรอบ 10 ปี
ไคล แบส Kyle Bass ผู้ก่อตั้ง Hayman Capital Management เตือนกลุ่มนักลงทุนในสัปดาห์ที่แล้วว่า การขยายสินเชื่ออย่างรวดเร็วในระบบธนาคารจีน จะก่อหนี้เสียตามมา และทำให้ต้องอัดฉีดทุนให้แก่กลุ่มธนาคารจีน อีกทั้งสร้างแรงกดดันต่อเงินหยวน
Hayman Capital Management ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ของสหรัฐฯ เตือนว่าระบบธนาคารจีนจะขาดทุนกว่า 400 เปอร์เซ็นต์ แซงหน้ายอดขาดทุนของกลุ่มธนาคารอเมริกันในช่วงวิกฤตซับไพร์ม ในปีค.ศ. 2008
แบส กล่าวว่า หลายคนคงมองไปที่ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ที่จีนมีมากถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคิดว่าอย่างไรจีนคงไม่มีปัญหากับการใช้เงินทำอะไรก็ได้ แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่พอ โดยแบส ได้คำนวณจากข้อมูลการเงินต่างๆ และชี้ว่าวันนี้จีนไม่มีเงิน หรือกล่าวได้ว่า จีนไม่มีสภาพคล่องการเงินพอสำหรับบริหารความเสี่ยงฯ
เมื่อวิเคราะห์ในส่วนทุนสำรองฯ ของจีนครั้งใด ก็จะมีความเห็นอีกด้านขึ้นมาว่า ไม่มีชาติไหนในโลกที่สั่งสมทุนสำรองได้มหาศาลทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการค้าเกินดุลกับทุกชาติในโลก ในขณะที่ความจริงการวิเคราะห์นี้ ล้มเหลวที่จะมองบริบทที่เหมาะสมของสถานการณ์ที่มีขนาดใหญ่กว่านั้น หลายปีมานี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ปรับสูตรที่เหมาะสมที่สุดเพื่อใช้ในการคำนวณทุนสำรองที่เพียงพอ โดยใช้สูตรดังนี้
ทุนสำรองขั้นต่ำ (FX) = 10% ของการส่งออก + 30% ของหนี้ FX ระยะสั้น + 10% ของ เงินหมุนเวียน M2 + 15% ของหนี้สินอื่น
สำหรับประเทศจีน คำนวณสมการฯ ได้ดังนี้ ทุนสำรองขั้นต่ำ (FX) = 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ + 6.80 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ + (RMB 139.3T / 6.6) + 1.0 ล้านล้านเหรียญฯ = 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Hayman Capital ประเมินไว้ว่าขณะนี้ จีนมีทุนสำรองฯ ต่ำกว่าตัวเลขที่ทางการฯ จีนอ้าง โดยอยู่ระหว่าง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้ารวมภาระผูกพันต่างๆ เช่น กองทุนความมั่งคั่งของจีน (CIC) เข้าไว้ในบัญชีฯ ด้วย
ถ้าคิดตามแบส ก็จะวิเคราะห์ได้ว่า ทุนสำรองฯ ของจีนนั้น "ต่ำเกินขีดอันมีนัยยะสำคัญ ในความเงินทุนสำรองฯ ขั้นต่ำแล้ว"
"กล่าวอีกอย่างได้ว่า ในปัจจุบันระดับทุนสำรองที่จำเป็นของจีนนั้น น้อยเกินกว่าจะมีพอใช้หมุนเวียนในระบบการเงินได้อย่างปลอดภัย" แบสกล่าวและว่า "ตอนนี้จีนกำลังยืนพิงผนัง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักว่า ทำไมรัฐบาลจีนจะอ่อนไหวกับการแสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับระดับเงินสำรองฯ หรือ การร่วงกระแทกรุนแรงทางเศรษฐกิจ"
อย่างไรก็ดี ด้านนักวิเคราะห์ของเอเอ็นแซสกล่าวว่า "ดุลการค้าประจำเดือนม.ค. ของจีน ที่ยังคงเกินดุลด้วยสถิติใหม่ ที่ 63,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ชี้ว่า จีนยังคงมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลขนาดใหญ่ ซึ่งสิ่งนี้ควรช่วยชดเชยการไหลออกของเงินทุนบางส่วน และบรรเทาแรงกดดันการปรับค่าเงินหยวน”
โจว เสี้ยวชวน ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน ยังกล่าวในบทสัมภาษณ์ซึ่งถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของธนาคารฯ เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ก.พ. “จีนมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุดในโลก” แม้ข้อมูลของทางการจีนระบุว่า ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของจีนลดลง 99,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลืออยู่ที่ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. เนื่องจากธนาคารกลางปล่อยขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อชะลอการไถลลงของเงินหยวน
จูเลียน อีแวนส์-พริตชาร์ด จากแคปปิตอล อีโคโนมิกส์ กล่าวในงานวิจัยฯ ว่า แม้ตัวเลขจะแย่กว่าที่คาดการณ์ แต่สิ่งต่างๆ ก็อาจไม่เลวร้ายอย่างภาพที่เห็น เพราะความบิดเบือนของข้อมูล ที่เป็นผลจากวันหยุดเทศกาลฯ และการไหลออกของเงินทุน
“เร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปจากภาวะผันผวนตามฤดูกาล และก่อนตัวเลขเดือนก.พ. จะปรากฏออกมา”