เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - สถาบันคลังสมองในสังกัดฝ่ายวางนโยบายสูงสุดของจีนคาด เศรษฐกิจแดนมังกรปีนี้ซบเซา โดยการลงทุนที่ชะลอการเติบโต และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง เป็นตัวฉุดเศรษฐกิจขยายตัว
อ้างอิงจากรายงานของหนังสือพิมพ์อิโคโนมิก เดลี สถาบันวิจัยเศรษฐกิจของคณะกรรมาธิการด้านการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ หรือเอ็นดีอาร์ซี ระบุว่า การลงทุนของจีนจะชะลอการเติบโตร้อยละ 9 ในปีพ.ศ. 2559 เนื่องจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการผลิตลดลง และการซื้ออสังหาริมทรัพย์ซบเซา
การใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะชะลอการเติบโตเหลือตัวเลขหลักเดียว เนื่องจากการเติบโตของรายได้ ที่ชะลอลง ทำให้ผู้บริโภคเกิดความวิตกกังวลมากขึ้น
คำเตือนของเอ็นดีอารืซีมีขึ้นขณะบรรดาผู้นำจีนประชุมหารือกันที่กรุงปักกิ่งเมื่อกลางเดือนธ.ค. เพื่อหาทางหยุดยั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถลำลึกทุกที โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้นผิง นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑล และผู้บริหารกลุ่มรัฐวิสาหกิจร่วมอภิปราย
รายงานระบุว่า เศรษฐกิจจีนจะเผชิญกับแรงกดดันขาลงครั้งใหญ่ ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะตกลงต่อไป โดยมีการคาดการณ์จีดีพีโตร้อยละ 6.9 ในปีนี้ ซึ่งโตช้าที่สุด นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533
นอกจากนั้น แม้การประชุมของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ โปลิตบุโรเมื่อเดือนธ.ค. ระบุให้กำลังการผลิตส่วนเกินและอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ที่มีปริมาณมากเกินต้องการ เป็นปัญหาสำคัญอันดับแรก ที่เร่งต้องแก้ไขในปีหน้าอย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า รัฐบาลจะใช้นโยบายการเงินและอุตสาหกรรม เพื่อให้เศรษฐกิจโตอย่างสมเหตุผลอย่างไร
“ปัญหาการว่างงาน ที่ซ่อนอยู่บางอย่าง จะลอยขึ้นมาบนผิวหน้า ซึ่งยิ่งเร่งแรงกดดันให้เกิดการว่างงาน และเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพด้านการจ้างงานในปีหน้า” รายงานระบุ
ส่วนภาคธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ที่กำลังขยายตัวและสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ เช่น การรับจ้างส่งพัสดุ แต่ขณะเดียวกันก็กำลังทำลายตำแหน่งงานในธุรกิจค้าปลีกที่มีมา
นอกจากนั้น การทำสงครามกำจัดรัฐวิสาหกิจ ที่มีหนี้สินท่วมหัว ยังจะเป็นงานเข็นครกขึ้นภูเขาอีกประการ เนื่องด้วยอุปสรรคความยากลำบากทั้งปวง ซึ่งรวมทั้งการกางปีกปกป้องของรัฐบาลในท้องถิ่น
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเอ็นดีอาร์ซี ยังร่วมประสานเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลจีนผ่อนคลายความเข้มงวดในการใช้จ่าย เพื่อต้านแรงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า โดยขยายการใช้จ่ายด้านการคลัง คงสัดส่วนดุลการคลังต่อจีดีพี ในระดับสูง และออกพันธบัตรเพิ่ม เพื่อระดมเงินสำหรับการดำเนินโครงการใหญ่ๆ ในปีนี้
ขณะที่ธนาคารกลางจีนควรปรับลดสัดส่วนการกันสำรองเงินสดของธนาคารพาณิชย์ และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงปานกลาง เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก
นอกจากนั้น รัฐบาลควรลดขั้นตอน ที่ทำให้การเดินเรื่องล่าช้า เพื่อให้ภาคธุรกิจมีเวลามาทุ่มเทในการพัฒนาคิดค้นนวัตกรรมมากขึ้น
ทั้งนี้ ในรายงานประจำปีของสถาบันศึกษารัฐศาสตร์จีน ซึ่งตีพิมพ์ในสัปดาห์ที่แล้ว คาดการณ์ว่า จีดีพีจีนจะลดลงร้อยละ 6.6-6.8 ในปี 2559 ขณะที่รายงานของธนาคารกลางคาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 6.8