เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - พ่อแม่ดิ้นรนทุกวิถีทาง เพื่อให้ลูกรักได้มีโอกาสเข้าเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมศึกษาระดับแถวหน้า โดยยอมควักกระเป๋าจ่ายไม่อั้นทำเรซูเม่การศึกษาของลูกเป็นร้อย ๆ หน้า การันตีความสามารถ
การแข่งขันช่วงชิงที่นั่งในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เลิศสุดทำให้ขณะนี้พ่อแม่ของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของบางโรงเรียนในเมืองก่วงโจว มณฑลก่วงตง กำลังเตรียมทำประวัติการศึกษา หรือเรซูเม่ ของลูกไม่ต่ำกว่า 100 หน้า บางคนยอมทุ่มเงินหลายพันหยวนจ้างคนทำเรซูเม่ และซื้อประกาศนียบัตรเก๊ ที่ขายกันเกลื่อนทางออนไลน์ เพื่อความได้เปรียบของลูก
คุณแม่แซ่เสียนบอกว่า การสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมดี ๆ ของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาในปีนี้หินยิ่งกว่าการหางานทำของบัณฑิต ที่จบการศึกษา เพราะสำนักงานการศึกษาเมืองก่วงโจวมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในการคัดเลือกนักเรียนจากการสอบข้อเขียน มาเป็นการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว
สำหรับเสียนนั้น เธอได้เตรียมเรซูเม่ ซึ่งพิมพ์เข้ารูปเล่มด้วยกระดาษมันเงาดูดีกว่า 100 หน้า โดยครึ่งเล่มเป็นรูปถ่ายของลูก และที่เหลือเป็นประกาศนียบัตรด้านการศึกษา และหลักฐานการทำกิจกรรมพิเศษนอกเหนือจากการเรียน พร้อมทั้งรางวัลต่าง ๆ ที่ลูกได้รับ เสียเงินไปกว่า 200 หยวน หรือราว 1,000 บาทเป็นค่าพิมพ์
ส่วนคุณพ่ออีกคนหนึ่งพูดถึงประกาศนียบัตร หรือหนังสือรับรองปลอมว่า ทางโรงเรียนไม่เสียเวลามาตรวจสอบ และถ้าไม่ใช่มืออาชีพจริง ๆ แล้ว ใครจะไปรู้ได้ว่า เด็ก ซึ่งมีประกาศนียบัตรรับรองการผ่านการทดสอบการเล่นเปียโนระดับ 8 นั้น ผ่านจริงรึเปล่า ขอให้เด็กเล่นเปียโนได้เพลงสองเพลงก็พอแล้ว
พ่อแม่เหล่านี้เชื่อว่า การให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาดี ๆ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเป็นบันไดก้าวสู่มหาวิทยาลัยระดับหัวกะทิ
อลิซ จัง ที่ปรึกษาด้านการศึกษาในเมืองก่วงโจวระบุว่า การเปลี่ยนแปลงวิธีการคัดเลือกทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กนักเรียนประถมปีที่ 6 เครียด เพราะยังไม่มีการประกาศแนวทางการสัมภาษณ์ ฉะนั้น จึงต้องตะเกียกตะกายรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อยืนยันคุณสมบัติของลูก
จอยซ์ หลัว นักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งน้องชายกำลังสมัครเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาเช่นกันบอกว่า เรซูเม่ร้อยหน้าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และพ่อแม่ของเธอไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งนี้นัก
“พ่อแม่ของฉันพาน้องชายไปสมัครเรียนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ทุก ๆ เช้าวันเสาร์ พอตอนบ่ายก็เรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ทำอย่างนี้มาตั้งแต่น้องเรียนชั้นป. 3 แล้วล่ะ ” เธอเล่า