จีนแซงสหรัฐฯ ขึ้นแท่นมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลก

ASTVผู้จัดการออนไลน์/เอเจนซี - IMF เผยแดนมังกรแซงหน้าเมืองลุงแซมขึ้นครองตำแหน่งเบอร์หนึ่งเศรษฐกิจโลก โดยอ้างอิงจากตัวเลขความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (PPP) ในมือประชาชนของทั้งสองประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศอ้างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงาน (9 ต.ค.) สถิติความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (purchasing power parity: PPP) ของพลเมืองจีน มีมูลค่าสูงกว่าพลเมืองอเมริกา โดยคาดการณ์สิ้นปีนี้ PPP ของจีนจะพุ่งขึ้นร้อยละ 16.48 หรือราว 17.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าอเมริกาซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 16.28 หรือราว 17.42 ล้านล้านดอลลาร์ฯ

ด้วยเหตุนี้ ทำให้จีนกำลังก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ราชาเศรษฐกิจโลก แทนที่สหรัฐฯ ซึ่งรั้งตำแหน่งนี้มานานกว่าศตวรรษ หากทำการเปรียบเทียบจากดัชนีอำนาจการซื้อฯ (PPP) นี้ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นกลไกวัดขนาดเศรษฐกิจได้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด

อนึ่ง ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อเป็นค่าประมาณสำหรับอัตราแลกเปลี่ยนที่จำเป็นสำหรับอำนาจซื้อของสกุลเงินที่แตกต่างกัน บางครั้งใช้เป็นดัชนีเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ ลักษณะเดียวกับมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า อัตราแลกเปลี่ยนเปรียบเทียบควรจะเป็นอย่างไร หากซื้อสินค้าชิ้นเดียวกัน ในที่ต่างๆ กัน ตลอดจนต้นทุนที่ต่างกันในประเทศกลุ่มอุตสาหกรรม

พีพีพี เป็นวิธีคำนวณที่ช่วยให้เห็นข้อได้เปรียบ อีกทั้งศักยภาพเศรษฐกิจที่ซ่อน หรือรายได้ - รายจ่ายซึ่งถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา ตัวอย่างเช่น จีนอาจจะมีรายจ่ายต่ำกว่าสหรัฐฯ มาก เพราะค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลจีนต้องจ่ายสำหรับทหาร นั้นเทียบกันไม่ได้กับรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จ่ายให้ทหารเกณฑ์เพื่อไปรบตามสมรภูมิฯ ต่างๆ

อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจโดยอาศัยการคำนวณตัวเลขมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี (GDP) เพียงลำพังกลับพบว่า จีนยังคงวิ่งไล่ตามหลังสหรัฐฯ อยู่อีกไกล อย่างที่บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญฟันธงว่า กว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ก็ต้องรอถึงปี 2563 หรือนานกว่านั้น

ขณะที่การคาดการณ์เศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุด ไอเอ็มเอฟประเมินว่า ปี 2557 เศรษฐกิจจีนจะเติบโตที่ร้อยละ 7.4 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยคิดคำนวณไว้ในเดือน ก.ค. โดยเสริมว่า ทางการจีนต้องปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศอย่างเป็นระบบ และเร่งแก้ไขวิกฤตธนาคารเงา (shadow banking) ซึ่งกำลังสร้างปัญหาให้กับภาคการเงินจีน

นอกจากนั้น ไอเอ็มเอฟยังแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่เคยเติบโตอย่างน่าตื่นตาตื่นใจแต่ปัจจุบันกลับประสบภาวะซบเซาขั้นรุนแรง โดยรายงานอัตราการเติบโตภาคอสังหาฯ ล่าสุดช่วงต้นเดือน ต.ค. ระบุว่า รายได้ในไตรมาสที่สามของปีลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน