เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์- ผู้ร้องทุกข์ 7 คน กรอกยาพิษหวังฆ่าตัวตายหมู่ ประชดระบบ หลังร้องทุกข์เพราะถูกทางการยึดที่ทำมาหากิน แต่กลับโดนจับยัด “คุกมืด”
เช้าวานนี้ (16 ก.ค.) เกิดเหตุสลดหน้าสำนักงานใหญ่นสพ. ‘ไชน่า ยูธ เดลี’ (China Youth Daily) สื่อของพรรคคอมมิวนิสต์ ในปักกิ่ง ผู้ร้องทุกข์กรณีไล่ที่ 7 คน ได้กรอกยาพิษ นอนน้ำลายฟูมปากอยู่บนฟุตบาท หน้าตึกทำการฯ ไชน่า ยูธ เดลี รายงานผ่านเวปไซด์ของตนเอง พร้อมภาพประกอบอันน่าสลดหดหู่
ภาพสลดดังกล่าวเป็นภาพชาย 5 คน และหญิง 2 คน นอนเรียงรายกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีฟองสีขาวไหลออกจากปาก โดยไชน่า ยูธ เดลี ระบุ ทั้งเจ็ดคนถูกนำส่งโรงพยาบาลและตำรวจกำลังสืบสวนเรื่องดังกล่าว
สื่อจีนอีกราย เซาท์เทิร์น เมโทรโพลิส รายงาน ผู้ร้องทุกข์ที่กินยาฆ่าแมลงทั้ง 7 เป็นชาวตำบลชิงหยาง อำเภอซื่อหง มณฑลเจียงซู ทั้งหมดถูกทางการยึดที่ดินทำกิน และกำลังร้องทุกข์อยู่เพราะไม่พอใจเรื่องเงินชดเชยที่เจ้าหน้าที่รัฐจ่ายให้
“ในซื่อหง มีการสั่งรื้อถอนบ้านมากเกินไป ทั้งที่ศาลท้องถิ่นก็ตัดสินแล้วว่าการรื้อถอนผิดกฎหมาย” หวัง จี้ชาน ผู้ร้องทุกข์จากเมืองเดียวกันกับกลุ่มผู้พยายามฆ่าตัวตาย กล่าวกับ เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์
จาง กั๋วหลี่ (นามสมมุติ) หนึ่งในผู้ร้องทุกข์และกรอกยาพิษหมายปลิดชีพตน บอกกับผู้สื่อข่าว “ผมคิดจะกินยาตายตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.แล้ว” จางและเพื่อนบ้านเดินทางมายังกรุงปักกิ่งเพื่อร้องทุกข์กับสื่อ จนได้ยื่นเรื่องไปยังสำนักงานรับจดหมายร้องทุกข์ ทำให้พวกเขามีความหวัง "กลับมาบ้านไม่กี่วัน เพื่อนคนหนึ่งก็หายตัวไป โทรศัพท์ก็ไม่เจอ"
แต่ผู้ร้องทุกข์ทั้งเจ็ดคน ก็ถูกขัง “คุกมืด” หลังพยายามร้องทุกข์ไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูง เซาท์เทิร์น เมโทรโพลิส เดลี ระบุ
ในขณะที่ปักกิ่ง นิวส์ รายงานว่า นักข่าวถูกเจ้าหน้าที่จากเจียงซูซึ่งมาเฝ้าผู้ร้องทุกข์ 2 คนในห้องฉุกเฉิน กันออกไปไม่ให้เข้าถึงตัวพวกเขา อย่างไรก็ตาม ผู้ร้องทุกข์เจ็ดคนพ้นขีดอันตรายแล้ว
ด้านกลุ่มสิทธิมนุษย์ชนก็ออกมาระบุว่า ระบบการร้องทุกข์ของจีนซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สามารถย้อนหลังไปได้ถึงยุคการปกครองของจักรพรรดินั้น มักเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่จับผู้ร้องทุกข์ขังคุกมืด ผู้ร้องทุกข์มักถูกเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นบังคับให้กลับบ้านหรือไม่ก็ถูกจำคุก เพื่อปิดปาก หรือสกัดไม่ให้เดินเรื่องไปยังหน่วยงานระดับสูง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อประชาชนร้องทุกข์อยู่นานหลายปีโดยที่ไม่มีใครสนใจความทุกข์ร้อนของพวกเขา บางครั้ง พวกเขาจึงต้องหันไปพึ่งวิธีการสุดโต่งเพื่อดึงความสนใจจากสาธารณชน
เช้าวานนี้ (16 ก.ค.) เกิดเหตุสลดหน้าสำนักงานใหญ่นสพ. ‘ไชน่า ยูธ เดลี’ (China Youth Daily) สื่อของพรรคคอมมิวนิสต์ ในปักกิ่ง ผู้ร้องทุกข์กรณีไล่ที่ 7 คน ได้กรอกยาพิษ นอนน้ำลายฟูมปากอยู่บนฟุตบาท หน้าตึกทำการฯ ไชน่า ยูธ เดลี รายงานผ่านเวปไซด์ของตนเอง พร้อมภาพประกอบอันน่าสลดหดหู่
ภาพสลดดังกล่าวเป็นภาพชาย 5 คน และหญิง 2 คน นอนเรียงรายกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีฟองสีขาวไหลออกจากปาก โดยไชน่า ยูธ เดลี ระบุ ทั้งเจ็ดคนถูกนำส่งโรงพยาบาลและตำรวจกำลังสืบสวนเรื่องดังกล่าว
สื่อจีนอีกราย เซาท์เทิร์น เมโทรโพลิส รายงาน ผู้ร้องทุกข์ที่กินยาฆ่าแมลงทั้ง 7 เป็นชาวตำบลชิงหยาง อำเภอซื่อหง มณฑลเจียงซู ทั้งหมดถูกทางการยึดที่ดินทำกิน และกำลังร้องทุกข์อยู่เพราะไม่พอใจเรื่องเงินชดเชยที่เจ้าหน้าที่รัฐจ่ายให้
“ในซื่อหง มีการสั่งรื้อถอนบ้านมากเกินไป ทั้งที่ศาลท้องถิ่นก็ตัดสินแล้วว่าการรื้อถอนผิดกฎหมาย” หวัง จี้ชาน ผู้ร้องทุกข์จากเมืองเดียวกันกับกลุ่มผู้พยายามฆ่าตัวตาย กล่าวกับ เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์
จาง กั๋วหลี่ (นามสมมุติ) หนึ่งในผู้ร้องทุกข์และกรอกยาพิษหมายปลิดชีพตน บอกกับผู้สื่อข่าว “ผมคิดจะกินยาตายตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.แล้ว” จางและเพื่อนบ้านเดินทางมายังกรุงปักกิ่งเพื่อร้องทุกข์กับสื่อ จนได้ยื่นเรื่องไปยังสำนักงานรับจดหมายร้องทุกข์ ทำให้พวกเขามีความหวัง "กลับมาบ้านไม่กี่วัน เพื่อนคนหนึ่งก็หายตัวไป โทรศัพท์ก็ไม่เจอ"
แต่ผู้ร้องทุกข์ทั้งเจ็ดคน ก็ถูกขัง “คุกมืด” หลังพยายามร้องทุกข์ไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูง เซาท์เทิร์น เมโทรโพลิส เดลี ระบุ
ในขณะที่ปักกิ่ง นิวส์ รายงานว่า นักข่าวถูกเจ้าหน้าที่จากเจียงซูซึ่งมาเฝ้าผู้ร้องทุกข์ 2 คนในห้องฉุกเฉิน กันออกไปไม่ให้เข้าถึงตัวพวกเขา อย่างไรก็ตาม ผู้ร้องทุกข์เจ็ดคนพ้นขีดอันตรายแล้ว
ด้านกลุ่มสิทธิมนุษย์ชนก็ออกมาระบุว่า ระบบการร้องทุกข์ของจีนซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สามารถย้อนหลังไปได้ถึงยุคการปกครองของจักรพรรดินั้น มักเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่จับผู้ร้องทุกข์ขังคุกมืด ผู้ร้องทุกข์มักถูกเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นบังคับให้กลับบ้านหรือไม่ก็ถูกจำคุก เพื่อปิดปาก หรือสกัดไม่ให้เดินเรื่องไปยังหน่วยงานระดับสูง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อประชาชนร้องทุกข์อยู่นานหลายปีโดยที่ไม่มีใครสนใจความทุกข์ร้อนของพวกเขา บางครั้ง พวกเขาจึงต้องหันไปพึ่งวิธีการสุดโต่งเพื่อดึงความสนใจจากสาธารณชน
