เอเจนซี- จีนประกาศมาตรการแก้ไขปัญหาขัดแย้งในภูมิภาคชนชาติส่วนน้อยอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง โดยจะขยายการจ้างงานคนท้องถิ่น และการดำเนินความเชื่อทางศาสนาให้อยู่ภายใต้กฎหมายมากขึ้น
ระหว่างการประชุมปฏิบัติการส่วนกลาง (Central Work Conference) ว่าด้วยปัญหาเขตปกครองตัวเองชนชาติอุยกูร์มณฑลซินเจียง ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน และเพิ่งสิ้นสุดไปวานนี้ (29 พ.ค.)ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แถลงว่า ประเด็นระยะยาวในภูมิภาคที่ควบคุมยาก ยังคงเป็นเรื่อง ‘เอกภาพทางชาติพันธุ์’
จีนจัดการประชุมฯถกปัญหาซินเจียงระดับชาติเช่นนี้ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว(2553) และการประชุมฯครั้งนี้ ก็ถูกจัดขึ้นท่ามกลาง ‘คลื่นความรุนแรงที่ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ’ โดยความรุนแรงระลอกใหม่นี้ อุบัติขึ้นทั้งในซินเจียงและลุกลามไปยังเขตอื่นๆในประเทศ รัฐบาลปักกิ่งระบุว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจากซินเจียง ซึ่งเป็นถิ่นของมุสลิมอุยกูร์
การประชุมปฏิบัติการส่วนกลางครั้งนี้ ย้ำจุดยืนการต่อต้านลัทธิก่อการร้าย โดยถือเป็น ‘ภารกิจเร่งด่วนอันดับแรก’
“ (เราต้อง) เร่งสร้างแนวร่วมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย และขยายความร่วมมือต่อต้านลัทธิก่อการร้ายกับประเทศอื่นๆ” นายสี จิ้นผิง กล่าวกับเจ้าหน้าที่อาวุโส ในระหว่างการประชุม
แต่รายการข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศจีนเมื่อวานนี้ (29 พ.ค.) ได้นำเสนอการคลี่คลายความรุนแรงในซินเจียง โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งไปที่ความสมานฉันท์ระหว่างชนชาติ ศาสนา การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ
นายสี กล่าวว่า หลักการพื้นฐานในการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างศาสนาก็คือ การคุ้มครองกิจกรรมทางศาสนาที่ดำเนินไปอย่างถูกกฎหมาย และหยุดยั้งกลุ่มศาสนาที่ยึดถือความเชื่อแบบสุดโต่ง
“ควรมีการปกป้อง ‘กิจทั่วไปทางศาสนาของประชาชน’ และควรเคารพจารีตของพวกเขา” นายสี ระบุ “ควรมีการขยายช่องทางทางกฎหมาย ให้ผู้ยึดถือศาสนา ‘ได้เรียนรู้ศาสนาอย่างถูกต้อง’ ”
ด้านนายหยาง ชู จากสถาบันเอเชียกลางศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยหลานโจว ให้ความเห็นไว้ว่า “รัฐบาลกลางพยายามขจัดความคิดทางศาสนาแบบสุดโต่ง”
“ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ปราบปราม ‘กิจกรรมทางศาสนาที่ไม่ใช่กลุ่มลัทธิสุดโต่ง’ ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจเป็นอย่างมาก” นายหยาง กล่าว “การผลักดันให้การดำเนินความเชื่อศาสนาเป็นไปตามครรลองกฎหมายมากขึ้นนั้น จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากความเชื่อทางศาสนาแบบสุดโต่ง”
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า รัฐบาลจะสนับสนุนชนชาติส่วนน้อยในซินเจียงให้มีงาน และเข้าศึกษาตามเขตเมืองต่างๆ นอกจากนี้เขายังให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะเพิ่มเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการเข้าโรงเรียนและส่งเสริมการศึกษาแบบสองภาษาควบคู่กัน
ด้านนายกรัฐมนตรี หลี เค่อเฉียง ระบุว่า การจ้างงาน คือประเด็นความเป็นอยู่ที่สำคัญที่สุดสำหรับซินเจียง เขาจึงเรียกร้องภาคธุรกิจและนักลงทุน ให้จ้างงานคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ นายเจียง โจวหย่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์ในจีน ระบุ มาตรการเหล่านั้นอาจช่วยให้ชนชาติอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์อื่น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น “เมื่อก่อนในช่วงเศรษฐกิจที่วางแผนจากส่วนกลาง วิสาหกิจรัฐหลายแห่งก็จ้างคนท้องถิ่นในสัดส่วนที่ชัดเจน แต่หลังการปฏิรูประบบเศรษฐกิจตลาดเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมา การจ้างงานคนท้องถิ่นก็สะดุดหยุดลง”
นอกจากนี้ นายเจียงแสดงความเคลือบแคลงใจว่ารัฐบาลจะพัฒนาเขตตอนใต้ของซินเจียงอย่างไร
“ในทางภูมิศาสตร์แล้ว ซินเจียงตอนใต้ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ” นายเจียง กล่าว “ผมไม่รู้ว่า ในคัชการ์และอำเภออื่นๆทางตอนใต้ จะมีอุตสาหกรรมประเภทไหนพัฒนาได้”
ทั้งนี้ ซินเจียง เขตปกครองตัวเองชนชาติอุยกูร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม พูดภาษาเตอร์ติก เคยประกาศรัฐเอกราชและปกครองตัวเอง เมื่อผู้นำจีนคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของประธานเหมา เจ๋อตุง สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2492 ก็สั่งกองกำลังยาตราทัพเข้า “ปลดปล่อย” ประชาชนในซินเจียง ดินแดนแห่งภาคตะวันตกจีน หลังจากนั้นมา ชาวอุยกูร์ก็เริ่มบ่นถึงการกดขี่ของการปกครองจีน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชาวจีนฮั่นหลั่งไหลเข้าไปทำงานในซินเจียงอันเป็นผลจากนโยบายมุ่งสู่ตะวันตกของรัฐบาล จนเกิดความขัดแย้งแย่งงานคนท้องถิ่น การปะทะระหว่างชนชาติครั้งประวัติการณ์ระเบิดขึ้นในเดือนก.ค. 2552 ชาวฮั่นและอุยกูร์ลุยศึกนองเลือดกันกลางเมืองอูหลู่มู่ฉี มีผู้เสียชีวิตราว 200 คน และบาดเจ็บนับพัน และขณะนี้เหตุรุนแรงจากความขัดแย้งซินเจียงได้ขยายสู่เขตอื่นของประเทศจีน อาทิ ผู้จู่โจมไล่แทงผู้โดยสารที่สถานีรถไฟคุนหมิง เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 34 คน และบาดเจ็บ กว่า 140 คน ผู้นำจีนระบุเป็นฝีมือลัทธิก่อการร้ายจากซินเจียง.
ระหว่างการประชุมปฏิบัติการส่วนกลาง (Central Work Conference) ว่าด้วยปัญหาเขตปกครองตัวเองชนชาติอุยกูร์มณฑลซินเจียง ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน และเพิ่งสิ้นสุดไปวานนี้ (29 พ.ค.)ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แถลงว่า ประเด็นระยะยาวในภูมิภาคที่ควบคุมยาก ยังคงเป็นเรื่อง ‘เอกภาพทางชาติพันธุ์’
จีนจัดการประชุมฯถกปัญหาซินเจียงระดับชาติเช่นนี้ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว(2553) และการประชุมฯครั้งนี้ ก็ถูกจัดขึ้นท่ามกลาง ‘คลื่นความรุนแรงที่ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ’ โดยความรุนแรงระลอกใหม่นี้ อุบัติขึ้นทั้งในซินเจียงและลุกลามไปยังเขตอื่นๆในประเทศ รัฐบาลปักกิ่งระบุว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจากซินเจียง ซึ่งเป็นถิ่นของมุสลิมอุยกูร์
การประชุมปฏิบัติการส่วนกลางครั้งนี้ ย้ำจุดยืนการต่อต้านลัทธิก่อการร้าย โดยถือเป็น ‘ภารกิจเร่งด่วนอันดับแรก’
“ (เราต้อง) เร่งสร้างแนวร่วมทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย และขยายความร่วมมือต่อต้านลัทธิก่อการร้ายกับประเทศอื่นๆ” นายสี จิ้นผิง กล่าวกับเจ้าหน้าที่อาวุโส ในระหว่างการประชุม
แต่รายการข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศจีนเมื่อวานนี้ (29 พ.ค.) ได้นำเสนอการคลี่คลายความรุนแรงในซินเจียง โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งไปที่ความสมานฉันท์ระหว่างชนชาติ ศาสนา การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ
นายสี กล่าวว่า หลักการพื้นฐานในการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างศาสนาก็คือ การคุ้มครองกิจกรรมทางศาสนาที่ดำเนินไปอย่างถูกกฎหมาย และหยุดยั้งกลุ่มศาสนาที่ยึดถือความเชื่อแบบสุดโต่ง
“ควรมีการปกป้อง ‘กิจทั่วไปทางศาสนาของประชาชน’ และควรเคารพจารีตของพวกเขา” นายสี ระบุ “ควรมีการขยายช่องทางทางกฎหมาย ให้ผู้ยึดถือศาสนา ‘ได้เรียนรู้ศาสนาอย่างถูกต้อง’ ”
ด้านนายหยาง ชู จากสถาบันเอเชียกลางศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยหลานโจว ให้ความเห็นไว้ว่า “รัฐบาลกลางพยายามขจัดความคิดทางศาสนาแบบสุดโต่ง”
“ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ปราบปราม ‘กิจกรรมทางศาสนาที่ไม่ใช่กลุ่มลัทธิสุดโต่ง’ ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจเป็นอย่างมาก” นายหยาง กล่าว “การผลักดันให้การดำเนินความเชื่อศาสนาเป็นไปตามครรลองกฎหมายมากขึ้นนั้น จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากความเชื่อทางศาสนาแบบสุดโต่ง”
นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า รัฐบาลจะสนับสนุนชนชาติส่วนน้อยในซินเจียงให้มีงาน และเข้าศึกษาตามเขตเมืองต่างๆ นอกจากนี้เขายังให้คำมั่นว่า รัฐบาลจะเพิ่มเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการเข้าโรงเรียนและส่งเสริมการศึกษาแบบสองภาษาควบคู่กัน
ด้านนายกรัฐมนตรี หลี เค่อเฉียง ระบุว่า การจ้างงาน คือประเด็นความเป็นอยู่ที่สำคัญที่สุดสำหรับซินเจียง เขาจึงเรียกร้องภาคธุรกิจและนักลงทุน ให้จ้างงานคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ นายเจียง โจวหย่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์ในจีน ระบุ มาตรการเหล่านั้นอาจช่วยให้ชนชาติอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์อื่น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น “เมื่อก่อนในช่วงเศรษฐกิจที่วางแผนจากส่วนกลาง วิสาหกิจรัฐหลายแห่งก็จ้างคนท้องถิ่นในสัดส่วนที่ชัดเจน แต่หลังการปฏิรูประบบเศรษฐกิจตลาดเมื่อสองทศวรรษที่ผ่านมา การจ้างงานคนท้องถิ่นก็สะดุดหยุดลง”
นอกจากนี้ นายเจียงแสดงความเคลือบแคลงใจว่ารัฐบาลจะพัฒนาเขตตอนใต้ของซินเจียงอย่างไร
“ในทางภูมิศาสตร์แล้ว ซินเจียงตอนใต้ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ” นายเจียง กล่าว “ผมไม่รู้ว่า ในคัชการ์และอำเภออื่นๆทางตอนใต้ จะมีอุตสาหกรรมประเภทไหนพัฒนาได้”
ทั้งนี้ ซินเจียง เขตปกครองตัวเองชนชาติอุยกูร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม พูดภาษาเตอร์ติก เคยประกาศรัฐเอกราชและปกครองตัวเอง เมื่อผู้นำจีนคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของประธานเหมา เจ๋อตุง สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2492 ก็สั่งกองกำลังยาตราทัพเข้า “ปลดปล่อย” ประชาชนในซินเจียง ดินแดนแห่งภาคตะวันตกจีน หลังจากนั้นมา ชาวอุยกูร์ก็เริ่มบ่นถึงการกดขี่ของการปกครองจีน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชาวจีนฮั่นหลั่งไหลเข้าไปทำงานในซินเจียงอันเป็นผลจากนโยบายมุ่งสู่ตะวันตกของรัฐบาล จนเกิดความขัดแย้งแย่งงานคนท้องถิ่น การปะทะระหว่างชนชาติครั้งประวัติการณ์ระเบิดขึ้นในเดือนก.ค. 2552 ชาวฮั่นและอุยกูร์ลุยศึกนองเลือดกันกลางเมืองอูหลู่มู่ฉี มีผู้เสียชีวิตราว 200 คน และบาดเจ็บนับพัน และขณะนี้เหตุรุนแรงจากความขัดแย้งซินเจียงได้ขยายสู่เขตอื่นของประเทศจีน อาทิ ผู้จู่โจมไล่แทงผู้โดยสารที่สถานีรถไฟคุนหมิง เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 34 คน และบาดเจ็บ กว่า 140 คน ผู้นำจีนระบุเป็นฝีมือลัทธิก่อการร้ายจากซินเจียง.
