xs
xsm
sm
md
lg

ค.ศ. 2030 จีนจะเป็นประเทศที่มีชาวคริสต์มากที่สุดในโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหตุการณ์ขณะชาวคริสเตียนในจีนหลายพันคน ไปรวมตัวกันเป็นแนวโล่มนุษย์เพื่อปกป้องโบสถ์ซันเจียง ในมณฑลเจ้อเจียงเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา หลังรัฐบาลท้องถิ่นประกาศจะปิดและรื้อโบสถ์ (ภาพเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์)
เอเยนซี - ว่ากันว่า ความรู้สึกวุ่นวายไม่มั่นคงของมนุษย์ คือหนทางแห่งการแสวงหาธรรม จนถึงขนาดมีคำกล่าวกันว่า หากไม่มีพระเจ้า มนุษย์ก็จะสร้างขึ้นมาเอง ในสังคมจีนก็เช่นกัน มีการสำรวจฯ คาดว่าภายในอีก 15 ปี หรือ พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) จีนจะมีประชากรชาวคริสต์มากที่สุดในโลก แซงประเทศสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลจีนคงต้องเลือกว่าจะกีดกัน หรือจะยอมรับการเลือกนับถือศรัทธาของประชาชน

เมื่อไม่นานนี้ สื่อจีนได้เคยรายงานผลสำรวจการสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต พบว่าทุกวันนี้ ชาวจีนได้สืบค้นคำว่า "Christian Congregation" และ "Jesus" มากกว่าคำว่า "The Communist Party" และ "Xi Jinping" ประธานาธิบดีจีน มากในจำนวนที่เทียบกันไม่ได้ ด้านประธานาธิบดีจีนสี จิ้นผิง ก็เคยกล่าวในเชิงยอมรับว่า ชาวจีนกำลังขาดหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และอุดมการณ์ชีวิต ซึ่งอดีตที่ผ่านมา ความศรัทธาในลัทธิสังคมนิยม รวมทั้งหลักคำสอนในลัทธิเต๋า หรือ ขงจื่อ อีกทั้งคำสอนพุทธศาสนา คือส่วนที่ช่วยโอบอุ้มสังคมไว้

ผู้เชี่ยวชาญกิจการศาสนาฯ คนหนึ่งกล่าวว่า ตลอดประวัติศาสตร์จีนนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ขณะที่ความศรัทธาต่ออุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก กระนั้นลัทธิทุนนิยมที่เข้ามาแทนที่นอกจากไม่สามารถนำชีวิตไปสู่คุณค่าความหมายที่ผู้คนใฝ่ถึง ยังเป็นช่องทางแห่งความเลวร้ายโลภโมโทสันของมนุษย์ จากสภาพสังคมที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้คนเริ่มแสวงหาหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจอื่นๆ มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับรัฐบาลจีนนั้น การนับถือศาสนามีส่วนที่อ่อนไหวต่อความมั่นคงของรัฐบาล โดยศาสนาที่จีนยอมรับอย่างเป็นทางการคือ พุทธศาสนา ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และนิกายโปรเตสแตนท์ ศาสนาอิสลาม และลัทธิเต๋า ขณะเดียวกันก็จะมีความระแวงกับคริสตศาสนา โดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนท์ เพราะหลายๆ แห่ง ตั้งขึ้นอย่างผิดกฎหมาย และมีคำสอนเปลี่ยนความเชื่อที่ล่อแหลมต่อค่านิยมเดิมของสังคม รัฐไม่อาจควบคุมฯ นอกจากนี้ บางคนยังมองว่าสิ่งที่แอบแฝงมากับคำสอนคือ 'ค่านิยมแบบตะวันตก' ที่มุ่งทำให้ประชาชนต่อต้านรัฐบาล จึงเกิดเหตุการณ์ที่รัฐพยายามกวาดล้างโบสถ์คริสต์ใต้ดินในจีนต่างๆ อันอยู่นอกสังกัดฯ การกำกับดูแลของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น ครั้งล่าสุดที่รัฐบาลท้องถิ่นเจ้อเจียงประกาศจะปิดโบสถ์ซันเจียง โบสถ์ใหญ่ในเมืองเวินโจว ซึ่งขนานนามว่า เป็น 'เยรูซาเล็มแห่งตะวันออก' เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่่ผ่านมา แต่ถูกประชาชนหลายพันคนรวมตัวประท้วงปกป้องโบสถ์ จนทำให้รัฐบาลท้องถิ่นเจ้อเจียง ต้องออกมาปฏิเสธข่าวการข่มขู่โบสถ์คริสต์ดังกล่าว
โบสถ์ลิ่วซี โบสถ์แห่งใหม่ในเมืองเวินโจว มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย (ภาพเอเยนซี)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา เป็นวันที่อีสเตอร์ อันเป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ สื่อท้องถิ่นจีนยังได้รายงานว่า มีชาวคริสต์จีนหลายพันคนได้พากันไปประกอบพิธีทางศาสนาที่โบสถ์ลิ่วซี ในเวิ่นโจว มณฑลเจ้อเจียง กันอย่างคึกคัก โดยรายงานข่าวกล่าวว่า โบสถ์ลิ่วซี โบสถ์แห่งใหม่ในเมืองเวินโจวนี้ เป็นโบสถ์ใหม่ล่าสุดของเมือง และมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย มีความจุคนได้ถึง 5,000 คน มากกว่ามหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ในนครเวสต์มินสเตอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษถึง 2 เท่า นอกจากนั้นยังมีไม้กางเขนขนาดใหญ่สูง 206 ฟุต เห็นได้จากระยะไกลหลายกิโลเมตร ซึ่งก่อนหน้านี้ มีข่าวว่ารัฐบาลท้องถิ่นพยายามเจรจาเพื่อให้โบสถ์ลดขนาดของไม้กางเขนที่ด้านหน้าอาคารฯ ลง

นักสอนศาสนาคนหนึ่งกล่าวว่า มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้้นที่ทำให้เมืองเล็กๆ เช่นนี้สามารถสร้างศูนย์รวมจิตใจขนาดมหาวิหารได้เช่นนี้ วิหารแห่งนี้ยังอาจจะเป็นสัญลักษณ์แห่งการก้าวสู่ยุคแห่งศาสนาคริสต์ในจีน ด้วยอนาคตอันใกล้จะเป็นชาติที่มีชาวคริสต์มากที่สุดในโลก

จิน หงซิน วัย 40 ปี สตรีชาวคริสต์จีนผู้มาเยือนโบสถ์ลิ่วซี กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ได้เป็นผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ ทำให้รู้สึกถึงความมั่นคงในชีวิต และเธอเชื่อว่าหากทุกคนในจีน เชื่อคำสอนของพระเยซู สังคมจีนก็คงจะไม่ต้องมีตำรวจ เพราะไม่มีคนชั่ว ไม่มีอาชญากรรม

เฟิงกัง หยัง ศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเพอร์ดู สหรัฐฯ ผู้เขียนหนังสือ Religion in China: Survival and Revival under Communist Rule กล่าวคาดการณ์ว่า อีกไม่นาน ภายในชั่วอายุคนรุ่นนี้แหล่ะ จีนจะเป็นชาติที่มีชาวคริสต์มากที่สุดในโลก

ข้อมูลจาก Pew Research Centre's Forum on Religion and Public Life ระบุว่า ในปี 1949 นั้น จีนมีชาวคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ ราว 1 ล้านคน ขณะที่ล่าสุดในปี 2010 มีชาวคริสต์จีน นิกายโปรเตสแตนท์ เพิ่มขึ้นเป็น 58 ล้านคน มากกว่าชาวคริสเตียนในบราซิล (40 ล้านคน) และชาวคริสเตียนในแอฟริกาใต้ (36 ล้านคน)

ศาสตราจารย์หยัง ผู้เชี่ยวชาญกิจการศาสนาในจีน เชื่อว่า จำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ จะทวีขึ้นเป็น 160 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งจะทำให้จีนมีผู้นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์ มากกว่าสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 159 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ ยังมีแนวโน้มในสหรัฐฯ ว่าจะลดลงเรื่อยๆ และหากให้คาดการณ์ต่อไปถึงปี ค.ศ. 2030 ก็เชื่อว่า จีนจะมีประชากรชาวคริสต์รวมทุกนิกายฯ มากที่สุดในโลก คือมากถึง 247 ล้านคน แซงประเทศเม็กซิโก บราซิล และสหรัฐฯ

ศาสตราจารย์หยัง ยังกล่าวว่า ประธานเหมาเจ๋อตง และผู้นำจีนในอดีต ต่างพยายามอย่างยิ่งที่จะกีดกัน-ลบล้างความเชื่อทางศาสนาของผู้คน ผู้นำจีนคิดว่าเขาทำสำเร็จ แต่แท้จริงพวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

นักเทศน์คนหนึ่ง กล่าวว่า รัฐบาลจีนต้องการเทศนาคำสอนในวิถีแห่งพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น ดังนั้นพรรคฯ จึงกังวลกับคำสอนที่ให้เชื่อถือในพระเจ้าองค์เดียว และพฤติกรรมคำขู่ว่าจะปิดโบสถ์คริสต์ต่างๆ ก็เป็นความพยายามจำกัดการความคิด-ความเชื่อฯ นั่นเอง

ผู้นำโบสถ์อีกคนของโบสถ์ลิ่วซี กล่าวว่า รัฐบาลฯ ไม่ไว้ใจในโบสถ์แห่งนี้ โดยมองว่าเป็นโบสถ์ใต้ดิน ที่รัฐไม่สามารถเข้าไปสอดส่องควบคุมฯ นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่หลายคนเห็นว่าศาสนาคือความเจ็บป่วยทางจิต แต่กระนั้นรัฐบาลก็คงต้องเลือกเอา ว่าจะคุกคามหรือจะยอมรับความจริง เพราะรัฐบาลไม่อาจต่อสู้กับชาวคริสต์จีนทุกนิกายฯ ที่มีมากขึ้นมหาศาลกว่า 70 ล้านคน

เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ รายงานว่า พรรคคอมมิวนิสต์ ระแวงว่ากิจกรรมทางศาสนาคริสต์ จะกลายเป็นประตูเปิดให้อำนาจตะวันตกเข้ามาล้มอำนาจปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์แบบเงียบๆ และเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมจารีตดั้งเดิม อาทิ เหตุการณ์ที่ชาวคริสเตียนหลายพันคนได้รวมพลเดินขบวนด้านหน้าสำนักงานใหญ่ของรัฐบาลฮ่องกงเมื่อวันที่ 13 ม.ค. เพื่อแสดงจุดยืนเกี่ยวกับกฎหมายฯ กลุ่มคนรักร่วมเพศ ซึ่งถือว่าทำลายระบบวัฒนธรรมครอบครัวของจีนที่ยาวนาน แต่กระนั้น รัฐบาลก็ยังไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับชาวคริสต์จีนอย่างไร โดยไม่เกิดแรงต่อต้านจากประชาชนโดยเฉพาะในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่เข้ารีตเป็นชาวคริสต์กันมากขึ้น

บรรดาผู้เชี่ยวชาญฯ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้คนหันมาพึ่งศาสนานั้นเป็นเหตุภายในของผู้คน เป็นสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนที่รัฐบาลจีนและผู้นำฯ รุ่นใหม่คงต้องเรียนรู้ว่ามีปัจจัยที่มาอย่างไร จึงทำให้คนเปลี่ยนใจจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ไปศรัทธาในลัทธิศาสนาอื่นๆ ดังนั้นภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง คงต้องใช้ความยืดหยุ่นเข้าใจอย่างมาก กับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมจีนครั้งใหญ่ ซึ่งที่พึ่งทางใจของประชาชนอาจไม่ได้อยู่ที่พรรคคอมมิวนิสต์อีกต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น