เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์-- ชาวเน็ตมึนวิจารณ์กันอึงอล หลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ชี้ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในเบลเยียม ว่าจีนลองระบบการเมืองหลายแบบแล้ว …พังทุกอัน!
โลกออนไลน์ตื่นตัวกันอย่างหนักหลังจากที่ประธานาธิบดี นายสี จิ้นผิง อ้างระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่วิทยาลัยแห่งยุโรปในบรูกซ์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันอังคาร(1 เม.ย.) ว่า จีนได้ดำเนินระบอบการเมืองทุกระบบแล้ว ทั้งประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมือง แต่ล้มเหลวทุกแบบ โดยบางกลุ่มมองว่าการกล่าวของสีนี้ เป็นเพียงข้ออ้างในการกุมอำนาจไว้เท่านั้น
ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ สีระบุว่าจีนจำต้องเดินบนเส้นทางที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของตนเอง เพราะประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบการเมืองแบบอื่นที่จีนใช้ปกครองประเทศนั้นล้มเหลวนับตั้งแต่สิ้นสุดราชวงศ์ชิง (พ.ศ.2187-2454) และช่วงสาธารณรัฐจีน
“ทั้งระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ระบอบรัฐสภาหรือระบอบหลายพรรคการเมือง และการปกครองโดยรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี ล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้สำหรับจีน” นายสี จิ้นผิงกล่าว “ในที่สุด จีนก็เลือกสังคมนิยม ก็ต้องยอมรับว่าในกระบวนการสร้างสังคมนิยม มีทั้งประสบความสำเร็จและข้อผิดพลาดด้วยเช่นกัน”
นายสีกล่าวว่าจนกระทั่งยุคผู้นำ เติ้ง เสี่ยว ผิง จีนได้เริ่มดำเนินตามแนวทาง “สังคมนิยมแบบจีน” (socialism with Chinese characteristics) ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 (ช่วงปี พ.ศ. 2520) จึงได้พบแนวทางของตัวเองและประสบความสำเร็จ
ชาวเน็ตกลุ่มหนึ่งผิดหวังต่อคำกล่าวสุนทรพจน์นี้ และตอบโต้ว่าจีนไม่เคยให้โอกาสแก่ระบอบประชาธิปไตยได้พิสูจน์ตัวเองจริงๆ และระบบสังคมนิยมก็เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็กๆในพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น
“เราลองระบอบการปกครองอื่นแล้วจริงเหรอ?” ชาวเน็ตคนหนึ่งตั้งคำถามไว้ “อย่างที่ในตำราเรียนระบุไว้ รอบๆตัวฉันไม่มีใครเห็นด้วยสักคน”
ขณะที่หลายคนก็เห็นว่าสังคมนิยมเป็นทางเลือกที่ใช้ได้จริงสำหรับประเทศที่กำลังผลักดันการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่
“จริงๆแล้วที่เขา (สี) พูด ก็ถูกต้อง” ชาวเน็ตอีกคนออกความเห็น “มีการปฏิวัติหลายครั้งในประวัติศาสตร์จีนและก็มีระบบหลายพรรคการเมืองในบางดินแดนของจีนอย่างเช่น...ไต้หวัน แต่ในที่สุดแผ่นดินใหญ่ก็แข็งแกร่งที่สุด”
รัฐธรรมนูญจีนได้รับรองบทบาทนำระยะยาวในการปกครองประเทศแก่พรรคคอมมิวนิสต์ แม้ว่าจะเปิดทางให้มีพรรคการเมืองอื่นๆขึ้นก็ตาม ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบความร่วมมือของหลายพรรคการเมือง” (muti-party co-operation system) แต่ทุกพรรคล้วนอยู่ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์
จิ้น ชานหรง อาจารย์จากมหาวิทยาลัยประชาชนจีน ชี้ว่าสุนทรพจน์ของนายสีแสดงถึงความปรารถนาที่จะยืนยันว่า “ระบบการเมืองแบบพรรคเดียว” เป็นผลพวงจากประวัติศาสตร์
จิ้นชี้ว่าการที่นายสี จิ้นผิงอ้างว่ามีการลองใช้ระบบการเมืองอื่นๆแล้วนั้นยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันอีก มิอาจสรุปได้ และระบบสาธารณรัฐระหว่างปีพ.ศ. 2454-2492 ก็เป็นยุคสับสนวุ่นวาย ที่ถูกสถานการณ์ลากพาไป
ด้านนายจย่า ชิ่งกั๋ว อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยปักกิ่งกลับเห็นด้วยกับคำกล่าวของนายสี “ระบบการเมืองยุคสาธารณรัฐจีนเป็นประชาธิปไตย” เขากล่าว “ชีวิตของประชาชนยากแค้นรันทดจริงๆแต่จีนก็พยายามลองใช้ประชาธิปไตยแล้ว”
นายสี จิ้นผิงยังกล่าวอีกว่าจีนต้องทนทุกข์กับการรุกรานของต่างชาติมายาวนาน ตอนนี้โชคชะตาของประเทศได้กลับมาอยู่ในมือของตัวเอง ประชาชนจีนต้องการสันติภาพและต่อต้านสงคราม ซึ่งนั่นหมายความว่าจีนไม่มีนโยบายแทรกแซงต่างชาติ เขากล่าวในตอนท้าย
โลกออนไลน์ตื่นตัวกันอย่างหนักหลังจากที่ประธานาธิบดี นายสี จิ้นผิง อ้างระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ที่วิทยาลัยแห่งยุโรปในบรูกซ์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันอังคาร(1 เม.ย.) ว่า จีนได้ดำเนินระบอบการเมืองทุกระบบแล้ว ทั้งประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมือง แต่ล้มเหลวทุกแบบ โดยบางกลุ่มมองว่าการกล่าวของสีนี้ เป็นเพียงข้ออ้างในการกุมอำนาจไว้เท่านั้น
ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ สีระบุว่าจีนจำต้องเดินบนเส้นทางที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงของตนเอง เพราะประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบการเมืองแบบอื่นที่จีนใช้ปกครองประเทศนั้นล้มเหลวนับตั้งแต่สิ้นสุดราชวงศ์ชิง (พ.ศ.2187-2454) และช่วงสาธารณรัฐจีน
“ทั้งระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ระบอบรัฐสภาหรือระบอบหลายพรรคการเมือง และการปกครองโดยรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี ล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้สำหรับจีน” นายสี จิ้นผิงกล่าว “ในที่สุด จีนก็เลือกสังคมนิยม ก็ต้องยอมรับว่าในกระบวนการสร้างสังคมนิยม มีทั้งประสบความสำเร็จและข้อผิดพลาดด้วยเช่นกัน”
นายสีกล่าวว่าจนกระทั่งยุคผู้นำ เติ้ง เสี่ยว ผิง จีนได้เริ่มดำเนินตามแนวทาง “สังคมนิยมแบบจีน” (socialism with Chinese characteristics) ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 (ช่วงปี พ.ศ. 2520) จึงได้พบแนวทางของตัวเองและประสบความสำเร็จ
ชาวเน็ตกลุ่มหนึ่งผิดหวังต่อคำกล่าวสุนทรพจน์นี้ และตอบโต้ว่าจีนไม่เคยให้โอกาสแก่ระบอบประชาธิปไตยได้พิสูจน์ตัวเองจริงๆ และระบบสังคมนิยมก็เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็กๆในพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น
“เราลองระบอบการปกครองอื่นแล้วจริงเหรอ?” ชาวเน็ตคนหนึ่งตั้งคำถามไว้ “อย่างที่ในตำราเรียนระบุไว้ รอบๆตัวฉันไม่มีใครเห็นด้วยสักคน”
ขณะที่หลายคนก็เห็นว่าสังคมนิยมเป็นทางเลือกที่ใช้ได้จริงสำหรับประเทศที่กำลังผลักดันการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่
“จริงๆแล้วที่เขา (สี) พูด ก็ถูกต้อง” ชาวเน็ตอีกคนออกความเห็น “มีการปฏิวัติหลายครั้งในประวัติศาสตร์จีนและก็มีระบบหลายพรรคการเมืองในบางดินแดนของจีนอย่างเช่น...ไต้หวัน แต่ในที่สุดแผ่นดินใหญ่ก็แข็งแกร่งที่สุด”
รัฐธรรมนูญจีนได้รับรองบทบาทนำระยะยาวในการปกครองประเทศแก่พรรคคอมมิวนิสต์ แม้ว่าจะเปิดทางให้มีพรรคการเมืองอื่นๆขึ้นก็ตาม ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบความร่วมมือของหลายพรรคการเมือง” (muti-party co-operation system) แต่ทุกพรรคล้วนอยู่ภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์
จิ้น ชานหรง อาจารย์จากมหาวิทยาลัยประชาชนจีน ชี้ว่าสุนทรพจน์ของนายสีแสดงถึงความปรารถนาที่จะยืนยันว่า “ระบบการเมืองแบบพรรคเดียว” เป็นผลพวงจากประวัติศาสตร์
จิ้นชี้ว่าการที่นายสี จิ้นผิงอ้างว่ามีการลองใช้ระบบการเมืองอื่นๆแล้วนั้นยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันอีก มิอาจสรุปได้ และระบบสาธารณรัฐระหว่างปีพ.ศ. 2454-2492 ก็เป็นยุคสับสนวุ่นวาย ที่ถูกสถานการณ์ลากพาไป
ด้านนายจย่า ชิ่งกั๋ว อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยปักกิ่งกลับเห็นด้วยกับคำกล่าวของนายสี “ระบบการเมืองยุคสาธารณรัฐจีนเป็นประชาธิปไตย” เขากล่าว “ชีวิตของประชาชนยากแค้นรันทดจริงๆแต่จีนก็พยายามลองใช้ประชาธิปไตยแล้ว”
นายสี จิ้นผิงยังกล่าวอีกว่าจีนต้องทนทุกข์กับการรุกรานของต่างชาติมายาวนาน ตอนนี้โชคชะตาของประเทศได้กลับมาอยู่ในมือของตัวเอง ประชาชนจีนต้องการสันติภาพและต่อต้านสงคราม ซึ่งนั่นหมายความว่าจีนไม่มีนโยบายแทรกแซงต่างชาติ เขากล่าวในตอนท้าย