เอเยนซี - สื่อจีนเผยเหตุสลดใจ เกษตรกรในมณฑลเหอเป่ยซดยาฆ่าแมลงประท้วงทางการท้องถิ่น หลังถูกเรียกปรับเงินจากความผิดฝ่าฝืนนโยบายลูกคนเดียวอย่างต่อเนื่องเกือบ 10 ปี โดยครั้งล่าสุดถูกยึดผลผลิตอันเป็นแหล่งรายได้หนึ่งเดียวหมดบ้าน
พีเพิล เดลี่ สื่อทางการจีน รายงาน (9 ธ.ค.) ว่า นายไอ้ ก่วงต้ง เกษตรกร วัย 45 ปี ตัดสินใจดื่มยาฆ่าแมลงปลิดชีพตนเองกลางบ้านเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในเมืองเหลียงเอ้อจวง มณฑลเหอเป่ยทางภาคเหนือของประเทศ เมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.) ที่ผ่านมา หลังจากเขาเดินทางไปขอประนีประนอมโทษปรับในความผิดฝ่าฝืนนโยบายลูกคนเดียว โดยสัปดาห์ก่อนหน้านี้เขาถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น 5 นาย ยึดผลผลิตข้าวโพดมากกว่า 3.5 ตัน อันเป็นแหล่งเงินรายได้หนึ่งเดียวที่ใช้เลี้ยงครอบครัวจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวในปีหน้าไปทั้งหมด
อย่างไรก็ดี โกลบอล ไทมส์ สื่อจีนอีกแห่งระบุว่า นายไอ้ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
ไอ้ ก่วงต้ง และ เซี่ย อี้ว์เฟิง ภรรยา มีลูกหญิง-ชายทั้งหมด 5 คน แบ่งเป็นลูกสาว 4 คน และลูกชายคนเล็ก 1 คน ทั้งสองประกอบอาชีพทำไร่ข้าวโพดซึ่งสร้างรายได้เฉลี่ยเพียง 5,000 หยวน (ราว 25,000 บาท) ต่อปีเท่านั้น
นางเซี่ยเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้เรียกเงินจำนวน 7,000 หยวน (ราว 35,000 บาท) เมื่อพวกเขามีลูกสาวคนที่สองในปี 2548 และเรียกร้องเงินอีก 60,000 หยวน (ราว 300,000 บาท) เมื่อมีลูกคนที่สาม
“ครอบครัวของเรายากจนมาก ไม่สามารถจ่ายเงินตามที่เจ้าหน้าที่เรียกปรับได้ทั้งหมด ระยะหลังพวกเจ้าหน้าที่เลยมาบ้างไม่มาบ้าง บางครั้งก็มาเรียกเงิน 200 หยวน หรือ 500 หยวน แต่ไม่เคยมีหลักฐานการจ่ายเงินให้เลยสักครั้งเดียว” นางเซี่ยกล่าว
ทางด้านรัฐบาลท้องถิ่นประจำเมืองได้เสนอเงินช่วยเหลือ 15,000 หยวน (ราว 75,000 บาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจัดงานศพนายไอ้ รวมถึงสิทธิประโยชน์พื้นฐานต่างๆ ในอนาคต ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านที่ครอบครัวนายไอ้อาศัยอยู่หายตัวไปพร้อมกับครอบครัวตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา
ทั้งนี้ จีนดำเนินนโยบายลูกคนเดียวอย่างเข้มงวดมานานกว่า 30 ปี กำหนดให้ครอบครัวจีนเกือบทั้งหมด มีลูกได้คนเดียว ยกเว้นครอบครัวในชนบทบางกลุ่มที่มีลูกคนแรกเป็นผู้หญิงจึงจะสามารถมีลูกคนที่สองได้ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับเงินตามระดับรายได้สุทธิ ซึ่งได้กลายเป็นแหล่งรายได้ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ในปี 2555 สื่อจีนเผยว่า มี 24 มณฑลในจีนที่สามารถเก็บเงินค่าปรับจากความผิดดังกล่าวได้เกือบ 20,000 ล้านหยวน หรือราว 1 แสนล้านบาท แต่กลับไม่มีข้อมูลรายละเอียดของการใช้เงินจำนวนนั้นสู่สาธารณะชน