เอเยนซี - ศาลไต้หวันตัดสินจำคุก 22 ปี 4 เดือน เพลย์บอยไต้หวัน รับกรรมคดีข่มขืนเหล่าดารา-นางแบบสาววงการบันเทิง ปรับชดใช้อีก กว่า 13 ล้านบาท หลังก่อนหน้านี้ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี
สื่อต่างประเทศรายงาน (4 ก.ย.) ว่า ศาลไต้หวันได้ตัดสินจำคุกนายจัสติน ลี วัย 28 ปี ทายาทนักธุรกิจใหญ่ นายลี หยู ถัง อดีตซีอีโอของบริษัท “หยวนต้า” เป็นเวลา 22 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานข้อหาข่มขืน ทำร้ายผู้หญิง 9 ราย และถ่ายคลิปบันทึกภาพ นอกจากโทษจำคุกยังรวมทั้งสั่งปรับเงินชดเชยเป็นจำนวน 14.25 ดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 13.19 ล้านบาท) ให้แก่ผู้เสียหายทั้งที่ถูกข่มขืนและสมยอม 12 รายของเขา จากที่ถูกฟ้องเรียกร้องราว 75 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 69.4 ล้านบาท) นับเป็นหนึ่งในคดีอื้อฉาวที่ชาวไต้หวันติดตามข่าวคาวมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
สเตรทไทม์ส รายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2554 นายจัสติน ลี ได้ถูกตั้งข้อหาข่มขืนมากถึง 45 กระทง ซึ่งมีโทษความผิดจำคุกรวมกัน 30 ปี เขาได้หลบหนีอยู่ระยะหนึ่งก่อนที่เขาจะยอมเข้ามอบตัวเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยจำนนต่อพยานหลักฐานบันทึกภาพเหตุการณ์ข่มขืนเหยื่อจำนวนมาก รวมทั้งการชี้ตัวยืนยันของบรรดาเหยื่อผู้ถูกข่มขืน ซึ่งมีทั้งเหล่าดาราและนางแบบดังรวม 45 คดี
การสืบสวนส่งคดีสู่ศาลนี้ เริ่มขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. 2554 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งความจากหญิงสาวสองพี่น้องไต้หวันว่า ถูกนายลีวางยาก่อนข่มขืน และบันทึกเหตุการณ์ข่มขืนโดยที่พวกเธอไม่ได้ยินยอม ตำรวจจึงได้ขอหมายศาลเข้าตรวจค้นในอพาร์ตเมนต์ของเขา กระทั่งได้พบคลิปวิดีโอ และภาพถ่ายดิจิตอล กว่า 27 กิกะไบต์ โดยเป็นคลิปวิดีโอจำนวน 93 คลิป และภาพอีก 176 ภาพ และภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดว่านายจัสติน ลี ผู้ต้องหากำลังมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจำนวนมาก ขณะที่สื่อไต้หวันระบุว่าในบรรดาเหยื่อเหล่านี้มีสาวเซเลบคนดังของไต้หวันมากมาย และบางรายอยู่ในสภาพกำลังต่อสู้ขัดขืนฯ จึงแจ้งข้อหาจับกุม แต่เขาหลบหนีไป ก่อนที่จะยอมเข้ามอบตัวเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2555 กระทั่งเดือนตุลาคมปีเดียวกันก็ถูกศาลชั้นต้นตัดสินพิพากษามีความผิดจริงตามข้อกล่าวหา และลงโทษจำคุกเป็นเวลา 14 ปี
สื่อไต้หวันรายงานว่า สำหรับโทษจำคุก 22 ปี 4 เดือนในครั้งนี้ เป็นโทษความผิดในข้อหาข่มขืนบังคับมีเพศสัมพันธ์โดยอีกฝ่ายไม่ยินยอม 9 คดี และละเมิดสิทธิส่วนตัวถ่ายคลิปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเป็นจำนวน 15 คดี
ทั้งนี้ อาชญากรรมของลูกนักธุรกิจดังรายนี้ ก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน และติดตามการไต่สวน ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้ปิดไม่ให้สาธารณชนรับรู้ จนประชาชนและสื่อไต้หวันแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจ หวั่นผู้เสียหายไม่ได้รับความยุติธรรม ด้วยผู้ต้องหาเป็นลูกผู้มีอิทธิพล และอาจโน้มน้าวทำลายหลักฐานให้ศาลเชื่อตามคำกล่าวอ้างจากผู้ต้องหาว่าผู้หญิงทุกคนที่เขามีเพศสัมพันธ์ต่างสมยอมให้เขาบันทึกภาพ ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าเขาวางยาข่มขืน และบันทึกภาพเหตุการณ์ข่มขืนเหยื่อกว่า 30 รายด้วย
(ภาพบางส่วนของจัสติน ลี จากหลักฐานที่เผยออกมาโดยสื่อต่างๆ ทั้งสื่อหลัก และสื่อออนไลน์)