เอเจนซี --“ผมได้ยินมาว่า ในโลกนี้มีหน่วยงานที่ตกอยู่ในสภาพผะอืดผะอมมากที่สุด 4 หน่วยงาน และกระทรวงสิ่งแวดล้อมจีนก็เป็นหนึ่งในนั้น” คือคำกล่าวของรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมจีน นาย โจว เซิงเสียน ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาในวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา
“งานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของพวกเราเกี่ยวข้องกับหน่วยงานจำนวนมาก และหลายหน่วยงานก็มีบทบาทหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน “ทั้งพื้นดินและพื้นน้ำ มิใช่ว่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานเดียวเท่านั้น ทั้งคาร์บอนมอนอกไซด์และคารบอนไดออกไซด์ก็มิใช่กงการของหน่วยงานใดหน่วยเดียว...
“สิ่งที่ยากยิ่งที่สุดในขณะนี้คือ จะจัดการปัญหาในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างไร...ให้มีการพัฒนาไปท่ามกลางการรักษาสิ่งแวดล้อม..ให้มีการรักษาสิ่งแวดล้อมท่ามกลางการพัฒนา...”
*******
เมื่อสำนักงานการป้องกันสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลจีนได้ยกระดับขึ้นเป็นกระทรวงเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลายฝ่ายต่างก็ฝากความหวังว่า กระทรวงนี้จะสร้างผลงานด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นที่ประจักษ์บ้าง
การยกระดับปรับขึ้นเป็นกระทรวงของหน่วยงานดังกล่าว ได้ทำให้คณะทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมในองค์กรเข้าไปนั่งเก้าอี้ในสภาผู้แทนประชาชนหรือรัฐสภา มีสิทธิ์ออกเสียงตัดสินใจด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของชาติ พร้อม ๆ กับความหวังของหลายฝ่ายที่มุ่งจะเห็นการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการแก้ไขระบบวิธีคิดของเจ้าหน้าที่หัวพัฒนาที่เน้นแต่จะให้เศรษฐกิจเติบโตถ่ายเดียวเสียใหม่
ทว่า... 5 ปีแล้ว ที่ประชาชนยังคงอดทนกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายลง ปัญหาหมอกมลพิษที่จู่โจมเมืองต่างๆนับวันยิ่งรุนแรง แม่น้ำเน่าเสีย ดินปนเปื้อนสารพิษ ข้าวและผักเจือปนสารเคมีอันตราย เหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาสังคม การประท้วงการปล่อยสารพิษของโรงงานต่างๆที่ผุดขึ้นเป็นเห็ดทั่วประเทศ ความไม่พอใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในจีนขณะนี้ถึงระดับคุกคามเสถียรภาพสังคมแล้ว
กระทรวงสิ่งแวดล้อมได้รายงานสถานการณ์ว่า แม่น้ำสายหลักจำนวนร้อยละ 30 มีภาวะปนเปื้อนมลพิษในระดับกลางจนถึงขั้นร้ายกาจ ส่วนอีกร้อยละ 60 ที่เหลือ ก็เรียกว่าอยู่ในระดับที่แย่ หรือแย่มาก
ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีนเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาในกรุงปักกิ่ง ท่ามกลางสภาพปัญหาหมอกพิษ เสียงสนับสนุนในสภาที่จะเลื่อนขั้นให้กับนาย โจว เสิ่งเซียน รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พรรคด้านพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแทบจะไม่มีเลย ถือได้ว่าตกต่ำ กระทรวงนี้กลายเป็นองค์กรที่ไม่มีความสำคัญทางการเมือง
ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริง
หยัง ไอ้หลุน ผู้ช่วยอาวุโสแห่งสถาบันทรัพยากรโลก องค์กรเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ เผยว่า แม้ว่ากระทรวงสิ่งแวดล้อมจะมีสถานะสูงส่งกว่าองค์กร และมีเทคโนโลยีความเชี่ยวชาญเฉพาะที่ยกระดับกว่าแต่ก่อน ทว่าก็ยังคงล้มเหลวในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่นับวันมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
เหอ กัง นักวิจัยด้านนโยบายพลังงานและสภาพอากาศ แห่งมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย เผยว่า สถานะของกระทรวงทำให้อำนาจขององค์กรยกสูงขึ้นแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น ทว่าอำนาจที่แท้จริงยังต้องรอให้มีกฎหมายออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เหอย้ำว่า กระทรวงฯ ควรจะได้รับสิทธิ์บางประการในการกำหนดนโยบาย อาทิ ด้านการยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และการเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ตลอดจนใช้แรงจูงใจเศรษฐกิจเพื่อคุมปัญหามลพิษ
... ทว่า การบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนเห็นด้วย เนื่องจากจะไปขัดกับผลประโยชน์ของอีกหลายหน่วยงาน และสิ่งนี้ทำให้กระทรวงฯ ตลอด 5 ปีมานี้ ไม่สามารถยกระดับหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
การตัดสินใจของกระทรวงสิ่งแวดล้อมบางครั้งต้องการความร่วมมือกับอีกหลายกระทรวง รวมถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและรัฐบาลท้องถิ่น ทว่านโยบายที่รัฐบาลต้องการออกมาบังคับใช้ กับสภาพการปฏิบัติจริงยังคงห่างไกลกันนัก
แม้ว่ากระทรวงจะมีการให้คำมั่นสัญญาว่าจะเปิดเผยข้อมูลความจริงต่าง ๆ ทว่าในความเป็นจริงกระทรวงก็ยังคงทำให้ประชาชนผิดหวัง โดยยังคงปิดบังข้อมูลจำนวนมากอยู่
โจวเผยในเดือนพ.ย.ว่า กระทรวงฯ จะได้ทำการผลักดันเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ พร้อมพิมพ์เผยแพร่ข้อมูลรายงานสิ่งแวดล้อมในโครงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตลอดจนจะพิมพ์คำมั่นสัญญาของรัฐบาลที่เคยให้ไว้เกี่ยวกับการป้องกันสิ่งแวดล้อมทุกระดับ
ทว่า ประชาชนจำนวนหนึ่งในอวิ๋นหนานได้เคยร้องถามข้อมูลสรุปด้านสิ่งแวดล้อม ที่บริษัท ปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (China National Petroleum Corporation-CNPC)วิสาหกิจน้ำมันและก๊าซรายใหญ่สุดในแง่ปริมาณของแดนมังกรจะเข้ามาตั้งโรงกลั่นน้ำมันใกล้กับคุนหมิง กระทรวงฯ กลับออกมาบอกในเดือนนี้ว่า กระทรวงฯต้องการสำรวจความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเสียก่อน
นอกจากนั้น กระทรวงฯ ยังได้ปฏิเสธคำขอของนักกฎหมายคนหนึ่ง ที่เรียกร้องให้พิมพ์เผยแพร่รายงานดินปนเปื้อนมลพิษอย่างหนักหน่วงทั่วแผ่นดินจีน ทว่ากระทวงบอกว่าเป็น "ความลับของชาติ" ชาวเน็ตจำนวนหนึ่งบอกว่า กระทรวงฯควรจะเปลี่ยนชื่อเป็น "หน่วยปกป้องข้อมูลความลับ" มากกว่า
จบเห่ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น
นักวิเคราะห์เผยว่า การบังคับใช้กฎหมายในระดับท้องถิ่นหละหลวม เนื่องจากขาดหลักนิติธรรม และความจริงก็คือ เจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลท้องถิ่น และแทบไม่มีปากมีเสียงจะไปตอบโต้หรือแย้งโครงการอภิมหาโปรเจ็คทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งหลายได้ เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่นมุ่งมั่นที่จะพัฒนาหาเงินอย่างสุดกำลัง
การขาดความอิสระของกระทรวงสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่นเป็นปัญหาหลักสำคัญ ที่ทำให้องค์กรเป็นได้แค่เพียงองค์กร "จับตา" เท่านั้น
ผู้อำนวยการสำนักพิทักษ์สิ่งแวดล้อมระดับท้องถิ่นกลายเป็นที่จับตาของชาวเน็ต และหากมีปัญหามลพิษพวกเขาจะโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ในเดือนก.พ. นักธุรกิจเจ้อเจียงคนหนึ่งเคยเสนอเงินจำนวน 200,000 หยวนให้แก่เจ้าหน้าที่่พิทักษ์สิ่งแวดล้อมท้องถิ่นที่กล้าลงไปว่ายน้ำในแม่น้ำที่ปนเปื้อนมลพิษหนัก เป็นเวลานาน 20 นาที ผู้อำนวยการองค์กรหลายสำนักได้รับคำเชิญ ทว่าไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ารับคำท้า
รัฐบาลท้องถิ่นมีพันธสัญญาในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีลักษณะแข่งขันกันเอาหน้าจากรัฐบาลกลาง สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
ปักกิ่งได้เคยเริ่มโครงการตั้งเป้าความสำเร็จด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลท้องถิ่นตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว ทว่า ไม่เคยเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ
นักวิชาการทั้งจีน สิงคโปร์ และแคนาดาพบว่า งบการพัฒนาสิ่งแวดล้อมไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้ปกครอง ขณะที่การลงทุนด้านโครงสร้างสาธารณูปโภค การสัญจร ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวแบบมหึมาต่างหากที่ทำให้ผู้บริหารตาลุกเป็นไฟ
เก้าอี้ไม่ขยับ จนท.สิ่งแวดล้อมไร้แรงจูงใจ
เจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมแทบไม่มีโอกาสได้รับการสนับสนุนให้เติบโตในสายงานในอนาคต เอกสารวิชาการของโรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์เผยแพร่ใน นิตยสารเจวี๋ยเช่อ
ในการโยกย้ายตำแหน่งหลังจากเปลี่ยนถ่ายอำนาจรัฐบาลใหม่ มีเจ้าหน้าที่ระดับสำนักสิ่งแวดล้อมของจีนเพียงมณฑลเดียวที่ได้รับโยกย้ายขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงฯ
เอกสารระบุต่อว่า "หากว่าแรงจูงใจด้านการยกระดับสิ่งแวดล้อมไม่มี แผนสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น"
ขณะที่นักสิ่งแวดล้อมจำนวนหนึ่งระบุว่า ไม่น่าจะนำปัญหาการเลื่อนตำแหน่งในองค์กรมาเป็นข้อแก้ตัวเรื่องการยกระดับสิ่งแวดล้อม
นักสิ่งแวดล้อมนามว่า หลิว เจียนเฉียง เขียนในเอกสารแสดงความเห็นว่า กระทรวงฯได้พยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการประท้วงด้านสิ่งแวดล้อม และบางครั้งกลายเป็นผู้ออกมาปกป้องโรงงานขนาดใหญ่ อาทิ ให้การอนุมัติโครงการพลังานน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโครงการที่นักสิ่งแวดล้อมต่อต้าน
"กระทรวงอย่างไรเสียก็ต้องมีอำนาจที่กระทรวงจะพึงมี พวกเขาไม่ควรแก้ตัวว่าไร้อำนาจทางการเมือง"