เอเยนซี - สถาบันการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ของจีนทำนายอย่างภูมิใจว่า เศรษฐกิจพญามังกรจะทะยานแซงหน้าสหรัฐฯในอีก 6 ปีข้างหน้า แถมท้ายด้วยว่า จีนจะได้เป็นประเทศที่สำคัญที่สุดในโลกในอีก 3 ทศวรรษ
สำนักข่าวโกลบอลไทมส์รายงานเมื่อวันพุธ (9 ม.ค.) อ้างผลทำนายของสำนักวิชาการสังคมศาสตร์ของจีนภายใต้ชื่อว่า "รายงานด้านอนามัยของประชาชาติ" แต่ก็ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าใช้อะไรมาเป็นตัวชี้วัดในการทำนายดังกล่าว
โกลบอลไทมส์ลอกข้อความออกมาจากรายงานฯ ว่า "เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐฯในปี 2562 และสถานะของจีนในเวทีระหว่างประเทศจะมีบทบาทแซงหน้าสหรัฐฯ ในปี 2592 ซึ่งตรงกับวาระเฉลิมฉลองสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนครบ 100 ปีพอดิบพอดี"
โกลบอลไทมส์ระบุว่า ในการจัดอันดับประเทศที่มีอนามัยดี ประชาชนมีสุขจะพิจารณาจากภาพรวมของประเทศ และการกระจายความมั่งคั่งมาเป็นฐานสำคัญ ทั้งนี้จากการจัดอันดับประเทศที่สุขภาพดีที่สุดจาก 100 อันดับ พบว่าจีนอยู่ที่ 11 รองจากคอสตาริกา ส่วนประเทศที่ครองแชมป์คือ สวีเดน
อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนแบบมหัศจรรย์ การเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายทางความมั่นคง ตลอดจนการช่วงชิงผลประโยชน์กับสหรัฐฯในเอเชียแปซิฟิก ทำให้หลายประเทศโดยรอบกังวลว่า สองมหาอำนาจจะเพิ่มอิทธิพลของตนในเวทีโลกมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ในตอนท้ายหนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ กระบอกเสียงพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เผยกลับลำว่า สิ่งที่เผยในรายงานดังกล่าวเป็นข้อมูลจากฝั่งคนที่หัวชาตินิยมแรงกล้า นายฟัง โจวจื้อ ผู้แสดงความเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าว ระบุว่าผลทำนายเป็นวิชาการจอมปลอม นายฟังให้สัมภาษณ์กับโกลบอลไทมส์ว่า รายงานดังกล่าวเป็นของพวกที่ต่อต้านสหรัฐฯ ในสังคมจีน โดยมองว่าสหรัฐฯเป็นภัยคุกคามที่ทรงพลัง และเชื่อมโยงไปสู่เรื่องการชิงความเป็นจ้าวของจีน ว่าต้องเหนือกว่าสหรัฐฯเข้าสักวัน
ทศวรรษของการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และเปิดประเทศให้การลงทุนต่างประเทศทะลักเข้าจีน ก็ได้ช่วยยกระดับประเทศยากจนอย่างจีนให้ขยับจากประเทศที่อิงผลผลิตทางเกษตรกรรมเป็นหลัก ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับสองทางเศรษฐกิจของโลก ตามหลังสหรัฐฯอยู่ในขณะนี้
นักวิเคราะห์ในเวทีสากลคาดหวังว่าเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเติบโตแบบก้าวทะยาน จะสามารถแซงสหรัฐฯได้ในด้านของจีดีพี หรือด้านของขนาดการผลิต บางทีอาจจะเห็นได้ในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษนี้ด้วยซ้ำ ทว่ายากที่จะระบุวันเวลาที่ชัดเจนได้
อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์ก็ต่างมองเห็นว่า หากคิดที่ความมั่งคั่งต่อหัวประชาชนแบบกระจาย สหรัฐฯก็ยังคงดีกว่าจีน จีนมีประชากรถึง 1,300 ล้านคน กระจายแล้วตกหัวละไม่มาก ในทางกลับกันสหรัฐฯมีประชากรเพียง 315 ล้านคนเท่านั้น หากคิดที่รายได้ประชากรต่อหัว ย่อมมากกว่าจีน