เอเจนซี--เช้าตรู่วันแรกของปี 2013 นางอี๋ว์ โหยวเจิน วัย 53 ปี ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าอากาศหนาวเหน็บเจ็บกระดูก มาถึงที่หมายบริเวณถนนสีว์เล่อ เขตอู่ชาง 6 โมงครึ่ง ตรงเวลาเข้าทำงานพอดี เธอเริ่มกวาดถนนดั่งเช่นที่ปฏิบัติทุกวัน ผู้คนสัญจรผ่านไปมา หารู้ไม่ว่าหญิงสวมชุดเครื่องแบบพนักงานกวาดถนนสีส้มนางนี้ เป็นเจ้าของสินทรัพย์และโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าสูงถึงหลายร้อยล้านหยวน
ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น อู่ฮั่น อีฟนิ่ง นิวส์ ได้ฝ่าลมหนาว ไปสัมภาษณ์เธอในวันที่ 1 ม.ค.
อี๋ว์ โหยวเจิน ผู้นี้ เป็นเจ้าของตึก/ห้องชุด 17 หลัง มูลค่า มากกว่า 10 ล้านหยวน หรือ ราว 50 ล้านบาท แต่กลับเลือกอาชีพกวาดถนน เพื่อสอนคุณธรรมการต่อสู้ทำงานหนักแก่ลูกหลาน
นางอี๋ว์ ได้ใช้ชีวิตแตกต่างไปจากกลุ่มเศรษฐีที่มักชอบอวดรวย โชว์เฟอร์นิเจอร์หรูเพื่อประกาศตนเป็นคนมั่งคั่ง เธอยังยึดอาชีพเป็นคนงานกวาดถนนให้แก่สำนักงานเทศกิจเขตอู่ชาง นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เงินเดือน 1,420 หยวน สัปดาห์หนึ่ง ทำงาน 6 วัน เมื่อตะวันฉายแสง ก็ตื่นไปทำงาน รับผิดชอบกวาดถนนและทางเท้าเป็นระยะทาง 3 กม. แต่ละวันต้องเดินทางไปๆมาๆเพื่อกวาดถนนรวมเวลา 6 ชม. ขัดล้างถังขยะ 8 ใบ
...แบกผัก 100 กก. ขี่จักรยาน นำไปขายที่ตลาดในเมือง
อี๋ว์เติบโตมีชีวิตเฉกเช่นเดียวกันคนในเขตตอนกลางประเทศจีน ซึ่งเป็นถิ่นของผู้ไม่มีอันจะกิน เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาในปี 1976 จากนั้นก็ออกมาทำสวนผักที่บ้านในหมู่บ้านตงหู เขตหงซาน แปลงผักของเธอขึ้นงอกงามดีมาก อี๋ว์ตื่นแต่ตีสาม ลงสวนมาเด็ดผักล้างผัก แบกผลผลิตหนักถึง 100 กก. ขึ้นรถจักรยาน ขี่ไปยังตลาดขายผัก
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 อี๋ว์และสามีได้สร้างบ้าน 3 ชั้น หลังหนึ่ง ขณะนั้นมีแรงงานต่างถิ่นเข้ามาทำงานอู่ฮั่นยิ่งมากขึ้นๆ อี๋ว์เปิดห้องที่ว่างในบ้านให้แรงงานต่างถิ่นเช่าอาศัยอยู่ จนถึงต้นทศวรรษที่ 1990 อี๋ว์เก็บค่าเช่าห้องๆละ 50 หยวนต่อเดือน สามีภรรยาเก็บหอมรอมริบ จนมีเงินมากขึ้น ก็สร้างบ้านเพิ่มอีก ไม่กี่ปีต่อมาก็มีตึก 5 ชั้น 3 หลัง เป็นบ้านของเธอเอง ส่วนใหญ่ปล่อยให้คนเช่า เธอเล่าว่า สมัยนั้นในเขตชนบทสามารถสร้างบ้านกันได้สบายๆ แต่ละครอบครัวต่างก็สร้างบ้านกัน กระทั่งในปี 2002 ในจีนมีการสำรวจที่ดินไล่ที่ชดเชยบ้านกันคึกคัก อี๋ว์ได้บ้าน/ห้องชุด รวม 21 หลัง ต่อมา ได้ขายไป 4 หลัง
...“ฉันไม่ใช่คนมีวัฒนธรรมนักหนา แต่ก็อยู่เฉยๆไม่เป็น”
อี๋ว์เล่าอีกว่าเธอเคยออกไปเผชิญโชคที่เซินเจิ้น ในปี 1993 ตอนนั้นการพัฒนาเขตเมืองขยายตัวมาก ที่ดินสวนผักถูกรุกหดเล็กลงๆ และงานที่อี๋ว์ทำได้ก็มีน้อยลงๆด้วย ตอนนั้นหลายคนในหมู่บ้านแห่กันไปทำงานที่เซินเจิ้น เธอและสามีปรึกษากัน จ่ายเงิน 4 หมื่นหยวนซื้อรถบรรทุกคันหนึ่ง ไปรับจ้างบรรทุกของที่เซินเจิ้น
ที่จริงตอนนั้น ลำพังรายได้จากค่าเช่าบ้าน อี๋ว์ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดได้อย่างไม่ลำบากเลย แต่ “ก็อยากออกไปเผชิญโชคดู ฉันไม่ใช่คนมีวัฒนธรรมอะไร แต่ก็อยู่เฉยๆไม่ได้”
อี๋วและสามีทำธุรกิจรับจ้างบรรทุกขนส่งของที่เซินเจิ้น ไม่ถึงสองปี ก็ล้มเหลว ทั้งสองกลับมายังอู่ฮั่น
อี๋ว์บอกว่า นอกจากปลูกผักแล้ว เธอก็ไม่มีทักษะทำงานอื่น มีคนแนะนำให้เธอไปทำงานที่โรงงานสิ่งพิมพ์ที่อู่ชาง ทำอาหารให้แก่คนงาน ทำอยู่สองปีกว่า โรงงานเจ็ง ตกงานอีก แต่อี๋ว์ก็อยู่เฉยไม่เป็น ในปี 1998 มีเพื่อนมาถามเธอว่าทำงานเป็นคนทำความสะอาดให้กับสำนักงานเทศกิจอู่ชางได้ไหม งานลำบากหน่อย เมื่อทำไประยะหนึ่ง อี๋ว์คิดว่า งานกวาดพื้น ก็คือการทำความสะอาด ไม่เห็นจะลำบากเลย
...“วิถีชีวิตราชาที่ดิน จะทำลายลูกๆในระยะยาว”
แม้มั่งมีมากขึ้น แต่อี๋ว์ยังรู้สึกงานเป็นชีวิตของเธอ
ตอนที่อี๋ว์ทำงานเป็นคนทำความสะอาดของสำนักงานเทศกิจเขตอู่ชาง สัปดาห์หนึ่งๆได้พักผ่อน 1 วัน เช้าตรู่ตี 3 ครึ่ง ก็ต้องไปถึงที่ทำงาน แม้ต่อมาร่ำรวยเป็นเศรษฐีระดับร้อยล้านแล้วก็ตาม ก็ยังไม่เลิกทำงานเป็นคนกวาดถนน หลายคนเขม่นหมั่นไส้เธอ แต่เธอก็ยังมีความสุขกับการทำงาน
“ฉันต้องการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกๆ ไม่ต้องการนั่งกินนอนกินบุญเก่า
“ไม่ต้องการให้ลูกๆดำเนินชีวิตเยี่ยงราชินีหรือราชาที่ดิน นั่งเก็บค่าเช่าเป็นรายได้เลี้ยงชีวิต วิถีชีวิตแบบนี้จะทำลายพวกเขาในระยะยาว ” อี๋ว์ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว
อี๋ว์เล่าว่าตอนที่มีการสำรวจไล่ที่ชดเชยบ้านในหมู่บ้าน หลายคนเมื่อได้บ้านชดเชยแล้ว ก็ไม่ทำงานทำการ หมกหมุ่นเล่นการพนัน สูดยาเสพติด เธอบอกกับลูกๆว่า “ถ้าพวกเธอไม่ทำงาน แม่ก็จะเอาบ้านไปบริจาคให้ประเทศชาติ”
ขณะนี้ ลูกๆของเธอ ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน บุตรชายเป็นคนขับรถมีรายได้ 2,000 หยวนต่อเดือน ลูกสาวเป็นพนักงานบริษัท กินเงินเดือน 3,000 หยวน
อี๋ว์ ยังเล่าว่า เธอถูกผู้คนหัวเราะเยาะบ่อยๆว่า คงมีเศรษฐีอย่างเธอหันมาทำงานแบบนี้กัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนขับแท็กซี่ ร้องแดกดันว่า “เงินของเธอ...มีเป็นฟ่อนโตๆ เอามาฟาดคุณตายได้เลย!”