หวั่งอี้ - คู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานเกือบ 10 ปี หย่ากันเพราะเห็นต่างเรื่องงาน แต่ผ่านไป 2 เดือน อดีตสามีตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ อดีตภรรยาจึงขอแต่งงานใหม่ด้วยเพื่อใช้สิทธิในการบริจาคตับ ครั้นถูกคณะกรรมการด้านจริยธรรมสอบสวน เธอก็พูดทั้งน้ำตาว่า “เพราะฉันรักเขาค่ะ”
หลังการตรวจร่างกาย นางซูตานอดีตภรรยา วัย 32 ปี ได้ใช้เวลาสองอาทิตย์ในการเกลี้ยกล่อมให้อดีตสามีวัย 39 ปีแต่งงานใหม่กับเธอ และยอมรับการเปลี่ยนตับที่เธอเป็นผู้บริจาคให้
31 ต.ค.ที่ผ่านมา ซูตานได้สละตับหนักกว่า 590 กรัมข้างหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนให้อดีตสามี โดยหวังให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ
ซูตานมาจากเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ส่วนเถียน ซินปิ่ง เป็นคนเหอหนัน ทั้งคู่เริ่มต้นจากความรัก ลงเอยด้วยการแต่งงาน มีลูกด้วยกัน และอยู่ด้วยกันมานานร่วม 10 ปี จนมาถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เกิดความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับกฎของบริษัทที่ลงทุนสร้างมาด้วยกัน หลังการทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทั้งสองได้ยื่นคำขาดขอหย่า แต่ก็ยังอยู่ร่วมชายคาเดียวกันชั่วคราว เพื่อสะสางปัญหาที่ค้างคาของบริษัท
“ตอนเซ็นใบหย่าเราต่างคนต่างแรง พอสงบสติอารมณ์ลงได้ ก็รู้สึกอยากคืนดี เพียงแต่การป่วยของเขาเร่งการคืนดีให้เร็วขึ้นเท่านั้น” ซูตานบอกกับผู้สื่อข่าว
เดือนสิงหาคม เถียน ซินปิ่ง ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคตับแข็งขั้นสุดท้าย และมะเร็งตับ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนปลูกถ่ายตับใหม่ทันที ซึ่งในช่วงนั้น ทางโรงพยาบาลมีคนไข้ที่เข้าคิวรอรับการบริจาคตับอยู่ 10 ราย ซูเห็นว่าขืนรอคิว เถียนมีหวังไม่รอดแน่ เธอจึงอาสาที่จะเป็นผู้บริจาคให้เอง
โดยตอนแรกที่รู้เรื่อง เถียนคิดว่าเธอล้อเล่น แต่พอเห็นเธอมีสีหน้าจริงจัง และลากเขาไปคุยกับหมอ พร้อมขอให้หมอรีบทำการผ่าตัด เขาก็รีบปฏิเสธทันที และเลือกที่จะไม่พูด เมื่อเธอพูดเรื่องนี้ขึ้น
“ผมรู้สึกว่าการบริจาคตับนั้นเสี่ยงมาก เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น จะพาลทำเธอบาดเจ็บไปด้วยอีกคน ลูกสาวเราก็ยังเล็กอยู่”
ซูรู้ดีว่า เถียนปฎิเสธเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเธอ แต่เธอก็รู้ว่าอันตรายครั้งนี้เธอจำเป็นต้องเสี่ยง
เธอบอกว่า ลูกสาวจะต้องมีพ่อ รวมทั้งเธอไม่อยากให้พ่อแม่ของเถียนต้องเผชิญกับสภาวะ “ผมขาวส่งผมดำสูปรโลก” เธอยังเล่าช่วงชีวิตที่ใช้ร่วมกันกับเถียนให้ฟังว่า เธอชอบที่เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ อีกทั้งชอบปีนเขา โดยเถียนปีนภูเขาในปักกิ่งจนเกือบครบแล้วก็ว่าได้ นิสัยแบบนี้กระตุ้นพลังในการใช้ชีวิตของเธอ “ฉันเคยชินแล้วที่ต้องพึ่งพาคุณ หากไม่มีคุณอยู่เคียงข้าง ฉันคงสูญสิ้นความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตไป” เธอพูดกับเถียน
พ่อแม่ของซูไม่คัดค้านลูกสาว พวกเขาบอกว่า เถียนก็เปรียบเสมือนลูกชายคนหนึ่ง “ลูกสาวของเราตัดสินใจทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ พวกเราต้องสนับสนุนเธอจึงจะถูก”
การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะในจีน ต้องได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการด้านจริยธรรม โดยมีข้อแม้ว่า ผู้บริจาคต้องเป็นคู่สมรส ญาติพี่น้อง ผู้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันใน 3 รุ่น หรือพ่อแม่บุญธรรม ดังนั้น ซูจึงต้องขอร้องให้เถียนแต่งงานใหม่กับเธอ เพื่อที่จะได้นำหลักฐานการสมรสยื่นขออนุญาตเปลี่ยนอวัยวะ
แรกเริ่มเดิมที พี่สาวของเถียนอาสาเป็นผู้บริจาค แต่ติดตรงที่อายุมาก และร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ส่วนคณะกรรมการด้านจริยธรรมก็อดสงสัยไม่ได้ ด้วยทางบ้านสามีค่อนข้างมีฐานะ การมุ่งมั่นยอมบริจาคของซูมีเหตุผลด้านการเงินแอบแฝงหรือเปล่า
ด้าน ผอ.สถาบันการปลูกถ่ายอวัยวะของกองทัพฯ บอกว่า ระหว่างผ่าตัดเปลี่ยนตับนั้น ผู้บริจาคมีความเสี่ยงในการผ่าตัดมากกว่าผู้รับบริจาค ทั้งภาวะเลือดไหลไม่หยุด การทำงานที่ผิดปกติของตับข้างที่เหลือ การรั่วของถุงน้ำดี การติดเชื้อ เหล่านี้ล้วนเคยเป็นเคสที่ทำให้ผู้บริจาคเกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด คณะกรรมการฯ จึงต้องทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
และจากการประเมินที่ครอบคลุมปัจจัยด้านต่างๆ กอปรกับซูแสดงความจริงใจทั้งน้ำตา และบอกว่า “เพราะฉันรักเขาค่ะ” การเปลี่ยนตับในครั้งนี้จึงได้รับการอนุญาต โดย ผอ.เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ส่วนใหญ่ผู้ให้ และผู้รับมักเป็นพ่อลูกกัน กรณีสามีภรรยาค่อนข้างน้อย เขาจึงเลื่อมใสในการตัดสินใจของซูมาก
ทั้งนี้ ในวันที่ 31 ต.ค. ราว 8 โมงเช้า ซูถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดก่อน เถียนจับมือเธอ และมองพยาบาลเข็นเธอไปจนลับตา “ความรู้สึกตื่นเต้นก็มีเป็นธรรมดา แต่พอหมอบอกว่าการผ่าตัดที่ผ่านมามีอัตราความสำเร็จสูง เราก็เกิดความเชื่อมั่นขึ้น แต่ผมก็บอกหมอว่า หากเกิดอุบัติเหตุในการผ่าตัด ต้องรักษาชีวิตของภรรยาผมก่อน”
ในที่สุด การผ่าตัดก็สำเร็จลุล่วง โดยทีมศัลยแพทย์ได้วางแผนก่อนการผ่าตัดมาเป็นอย่างดี และทำได้ตามแผนที่วางไว้ รวมไปถึงรายละเอียดของการเลือกใช้เข็มและด้ายในการเย็บ “พวกเขาทำให้พวกเราซาบซึ้งใจไปตามๆ กัน”
และในคืนนั้นเอง เถียนก็ได้เป็นเจ้าของชีวิตส่วนหนึ่งของซูที่อยู่ในร่างของเขาเป็นที่เรียบร้อย ผอ.บอกว่า ตับของซูต้องใช้เวลาราวครึ่งปีในการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซูจึงต้องมาตรวจเช็กตามกำหนดเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ซูบอกกับผู้สื่อข่าวว่า“การแต่งงานเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ที่สำคัญคือ จิตใจของคนทั้งสอง ซึ่งกระดาษแผ่นเดียวไม่สามารถชี้วัดได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่โยงพวกเราเข้าด้วยกัน ลูก พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ความรู้สึก ความทรงจำ ประกอบขึ้นเป็นครอบครัว”