รอยเตอร์ - มังกรสูญเงิน 3.79 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากการลักลอบขนเงินออกนอกประเทศ เงินก้อนมหาศาลนี้อาจเขย่าเศรษฐกิจให้อ่อนแอ และสั่นคลอนเสถียรภาพของชาติได้
ในรายงานฉบับใหม่ของ "ความซื่อสัตย์ด้านการเงินของโลก" (Global Financial Integrity หรือ GFI ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยและรณรงค์ เพื่อจำกัดการโยกย้ายเงินอย่างผิดกฎหมายระบุว่า การไหลออกของเงิน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการคอร์รัปชั่น อาชญากรรม และการเลี่ยงภาษี กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจีนสูญเงินถึง 472,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2554 หรือร้อยละ 8.3 ของจีดีพีของจีน จาก 204,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2543
นายเรย์มอนด์ เบเก้อร์ ผู้อำนวยการ GFI ระบุว่า จำนวนเงิน ที่ไหลออกผิดกฎหมายจากประเทศจีนเป็นสิ่งน่างุนงง และไม่มีชาติกำลังพัฒนา หรือชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ใดจะได้รับความเสียหายจากเงินออกนอกประเทศผิดกฎหมายมากเท่ากับจีน
รายงานยังระบุด้วยว่า เงินที่หายไประหว่างปี 2543-2544 สูงเกินกว่าจำนวนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( เอฟดีไอ) ซึ่งมีจำนวนราว 310,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระหว่างปี 2541-2554 จากการคำนวณของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ
เงินที่ลักลอบขนออกนอกประเทศนี้เป็นการปล้นรายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลและจากกองทุนรวม ที่มีศักยภาพ และด้วยจำนวนมหาศาลขนาดนี้จึงอาจทำลายเสถียรภาพทางการเมือง เพราะเท่ากับเปิดโอกาสให้คนรวยยิ่งร่ำรวยมากขึ้นจากการหลบเลี่ยงภาษี
ไอเอ็มเอฟระบุว่า จีนมีการจัดเก็บภาษีในระดับ ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งเองก็ตระหนักดีว่า การคอร์รัปชั่นและการติดสินบนคือปัญหาใหญ่ ซึ่งเห็นได้ชัดจากคดีอื้อฉาวของนายปั๋ว ซีไหล อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สาขานครฉงชิ่ง ทำให้รัฐบาลประกาศกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ในช่วงใกล้มีการถ่ายโอนอำนาจไปสู่ผู้นำประเทศรุ่นใหม่
ทั้งนี้ ชาติกำลังพัฒนาสูญเงินจากการลักลอบขนเงินออกนอกประเทศโดยรวมถึง 903,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2552 โดยชาติ ที่สูญเงินจากกรณีดังกล่าวมากที่สุดเรียงตามลำดับได้แก่จีน เม็กซิโก รัสเซีย และซาอุดิอาระเบีย