ซั่งไห่อิสต์ - เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายตรงดิ่งมายังมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่มีสถาบันขงจื่อของจีน ความว่า นักวิชาการหรืออาจารย์จีนที่ทำการสอนในระดับโรงเรียนภายในสถาบันขงจื่อโดยปราศจากการรับรองอย่างเป็นทางการถือว่าละเมิดกฎข้อตกลงตามวีซ่า และต้องจรลีออกจากสหรัฐฯ ภายในสิ้นภาคการศึกษานี้
สถาบันขงจื่อเป็นองค์กรสาธารณะที่ไม่แสวงผลกำไรของจีน ผู้สนับสนุนหลักคือสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทำหน้าที่สอนภาษาจีนกลาง เผยแพร่วัฒนธรรมจีนและแลกเปลี่ยนเชิงวัฒนธรรมกับต่างประเทศ ในสหรัฐฯ มีสถาบันขงจื่อกว่า 60 แห่ง และทั้งหมดตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย สถาบันขงจื่อเป็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการสรรค์สร้างและผลักดันอำนาจละมุนของจีนไปทั่วโลก
ขณะที่สถาบันขงจื่อแพร่กระจายอย่างรวดเร็วนับแต่เริ่มต้นโครงการในปี 2547 ก็อดไม่ได้ที่ต้องถูกวิจารณ์ บทความของ Don Starr ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาของยุโรปชี้ว่า “ข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายเกี่ยวกับสถาบันขงจื่อก็หนีไม่พ้นเรื่องอิทธิพลด้านการสอนและการวิจัยที่ไม่เป็นกลางของจีน ตลอดจนการจารกรรมข้อมูลด้านอุตสาหกรรมและการทหาร การสอดส่องของจีนในระดับสากลพร้อมกับลดอิทธิพลของไต้หวันอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรวมไต้หวัน”
มหาวิทยาลัยทั้งหลายในสหรัฐฯได้รับเสียงตักเตือนว่าอย่าได้นำสถาบันขงจื่อมาแทนที่ภาควิชาจีนศึกษาหรือเอเชียตะวันออก
ศาสตราจารย์ Jocelyn Chey ผู้เชี่ยวชาญด้านสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียเผยในยูนิเวอร์ซิตี้ เวิล์ดนิวส์ว่า นักวิชาการควรจะตระหนักถึงอคติหรือการสร้างทัศนคติในแง่ดีต่อจีน ไม่ควรให้สถาบันขงจื่อได้เข้ามาครอบงำการสอนและการวิจัยของมหาวิทยาลัยจนกลายเป็นกระแสหลัก เพราะสถาบันขงจื่อมีสายสัมพันธ์ตรงต่อรัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์ นี่อาจจะนำมาสู่การปิดหูปิดตา งานวิจัยฯจะแย่ลง จะมีแต่งานโฆษณาชวนเชื่อว่าจีนดีอย่างโน้นอย่างนี้ออกมาแทนที่
แม้ว่าความหวาดกลัวต่อสถาบันขงจื่อนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แต่การจัดการสถาบันฯ ให้มีความเหมาะสมก็เป็นเรื่องดี เพราะสถาบันขงจื่อจะทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักจีน ตลอดจนเรื่องราวแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเคยเห็น
อย่างไรก็ดี กระทรวงการต่างประเทศมะกันยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อสถาบันขงจื่อ ดังนั้นจึงยังไม่ได้กลัวการผงาดของภัยคอมมิวนิสต์มากเกินไป เว็บไซต์ข่าวครอนิเคิล ออฟ ไฮเออร์ เอ็ดดูเคชั่น ระบุว่า ประเด็นหลักของการวิจารณ์สถาบันขงจื่ออยู่ที่มองว่าเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลจีน แต่กระทรวงต่างประเทศก็ยังไม่ได้พุ่งเป้ามายังจุดนี้เท่าไรนัก เพราะขณะนี้ทั้งจีนและมะกันยังมีความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเชิงวัฒนธรรมกันอยู่ เช่นโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามาประกาศเพิ่มจำนวนนักศึกษาสหรัฐฯให้ไปเรียนจีนอีกเท่าตัว
ดังนั้นปัญหาที่แท้จริงขณะนี้ที่สหรัฐฯต้องจัดการคือประเด็นการใช้อาจารย์ที่วีซ่าหมดอายุ หรือไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นผู้สอนของสถาบันขงจื่อจริง ขณะนี้การแลกเปลี่ยนนักเรียนและครูหรือในนามของ “อาจารย์พิเศษ” นั้นกระทำเป็นปรกติ คำเตือนจึงออกมาว่า “อาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ ศาสตราจารย์ทั้งตลอดจนนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยนั้นถูกสั่งห้ามสอนในพื้นที่สาธารณะและโรงเรียนเอกชนตามใจชอบ”
ฝ่ายโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน นายหง เหล่ย เผยว่า ภาษาจีนเองก็มีการใช้ในดินแดนอเมริกาอยู่ จีนหวังว่าปัญหานี้จะแก้ไขอย่างเหมาะสม และจะไม่กระทบต่อโครงการสำคัญที่จะทำร่วมกัน
ฝ่ายสื่อรัฐบาลจีนอย่างพีเพิลเดลี และโกลบอลไทมส์วิจารณ์การตัดสินใจของสหรัฐฯว่าเป็นการเมืองในช่วงใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงเดือนพ.ย.ข้างหน้านี้ของสหรัฐฯ นอกจากนั้นการกระทำดังกล่าวฯ ยังกระทบต่อการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมทั้งสองชาติอย่างสาหัส