ในเดือนที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์ช็อกสังคมจีน คือกรณีเด็กหญิงเสี่ยวเย่วเย่ว์(นามสมมุติ) วัย 2 ขวบ ถูกรถชนที่ถนนในตลาดฝัวซัน มณฑลก่วงตงในเย็นวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ไม่กี่นาทีต่อมาก็ยังมีรถอีกคันมาชนเสี่ยวเย่ว์เย่ว์ซ้ำอีก และก็มีคน 18 คน เดินผ่านร่างเด็กน้อยที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นไปโดยไม่เหลียวแลเลย กระทั่งคุณป้าเก็บขยะผ่านมาและได้เข้าประคองร่างเสี่ยวเย่ว์เย่ว์ ในขณะที่แม่ของเด็กมาพบพอดีจึงได้นำส่งโรงพยาบาล เสี่ยวเย่ว์เย่ว์เสียชีวิตใน 7 วันต่อมา ท่ามกลางกระแสความโกรธแค้นต่อความเย็นชาของสังคมจีนปัจจุบัน
กลุ่มสื่อจีนเปิดหน้าพิเศษรายงานข่าวกรณีรถชนเสี่ยวเย่ว์ต่อเนื่องนับเดือน พร้อมกับได้ตั้งคำถามถึงสาเหตุความเย็นชาของผู้คนในสังคมวันนี้ ไฉนประเทศจีนที่พัฒนาเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจนมีขนาดใหญ่เป็นที่สองของโลก และยังสามารถเป็นที่พึ่งด้านเงินทองในยามวิกฤตการเงินของประเทศพัฒนาแล้วในโลกตะวันตก แต่คุณธรรมผู้คนในสังคมกลับเสื่อมถอยลงถึงเพียงนี้
ก่อนหน้าที่เกิดเหตุการณ์รถชนเสี่ยวเย่ว์เย่ว์ เพื่อนชาวจีนที่ทำงานในประเทศไทย ผู้ได้ติดตามสถานการณ์ในจีนทุกวันได้บ่นถึงความพิกลพิการของจิตใจผู้คนสังคมจีนแก่ผู้เขียน เธอเล่าถึงกระแสที่ชาวเน็ตจีนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคับข้องใจ ถึงความเสื่อมถอยทางจิตวิญญาณและคุณธรรมพื้นๆในสังคมจีน คือเรื่องการช่วยเหลือคนแก่ในประเทศจีน เมื่อไม่นานมานี้ มีกรณีคนชราในจีนล้มลง และร้องบอกผู้คนสัญจรไปมาในบริเวณขึ้นว่า “ฉันล้มลงเอง ช่วยฉันที” มิฉะนั้นแล้ว ก็อาจไม่มีใครเหลียวแลมาดูอาการเลย
กรณีคนแก่ล้มและไม่มีใครช่วยเหลือนี้เป็นปฏิกิริยาจากเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ชาวจีนขนานนามว่า “คดีเผิงอี๋ว์” ซึ่ง อุบัติขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 ที่เมืองหนันจิง หญิงชราชื่อ สีว์ โส่วหลัน ได้วิ่งตามรถประจำทางและล้มลง เผิง อี๋ว์ได้เข้าไปช่วยพยุงหญิงชราขึ้นมาและพาส่งโรงพยาบาล รวมค่ารักษาพยาบาลค่ายา กว่า 40,000 หยวน หญิงชรากลับกล่าวหาว่าเผิง อี๋ว์ ชนเธอล้มลง และฟ้องร้องศาลเรียกค่าชดเชย กว่า 130,000 หยวน ในที่สุด ศาลแขวงเขตกู่โหลว เมืองหนันจิง ก็ตัดสินให้เผิง อี๋ว์ รับผิดชอบค่าเสียหาย 40 เปอร์เซนต์ จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ 45,876 หยวน
คดีแบบนี้เกิดซ้ำรอยอีกในวันที่ 21 เดือนสิงหาคม 2551 เด็กหนุ่มนักศึกษานาม หลี่ ไคเฉียง กำลังขับขี่รถจักรยาน ระหว่างทางก็ได้หยุดรถลงไปช่วยพยุงคนแก่ที่ล้มลงกลางถนน ทว่า คนแก่ที่เขาได้ช่วยเหลือผู้นั้น กลับกล่าวหาว่าเด็กหนุ่มขับรถชนเขาล้มลง มันจบลงด้วยความเจ็บปวด โดยเมื่อเดือนมกราคม 2553 ศาลตัดสินให้หลี่ ไคเฉียงชดใช้เงิน 79,000 หยวน แก่คนแก่ ในความผิดขับรถชน
การช่วยเหลือของคนแก่ในจีนที่เข้าอีหรอบนิทาน “ชาวนากับงูเห่า” นับเป็นคดีที่ทรงอิทธิพล ที่ได้เขย่าจิตวิญญาณสังคมจีนอย่างแรง ถึงกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐได้ออกแถลงการณ์เตือนการช่วยเหลือผู้เฒ่าคนชรา
เมื่อต้นปี 2552 ก็มีรายงานข่าวว่า ชายชราวัย 75 ปี ผู้หนึ่งได้ล้มลงขณะลงจากรถประจำทางในเขตซย่ากวนของเมืองหนันจิง ชายชรานั่งแปะกับพื้นลุกไม่ขึ้นที่ป้ายรถเมล์นั้นเป็นเวลานาน โดยผู้คนที่เดินผ่านไปมาในบริเวณนั้นไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วย ชายชราดูเหมือนกับเข้าใจผู้โดยสาร จึงร้องบอกว่า “ฉันล้มลงไปเอง พวกเธอไม่ได้ทำอะไรฉัน ไม่ต้องห่วง” ผู้โดยสารในบริเวณนั้น จึงค่อยหันมาและเข้าไปช่วยพยุงชายชราที่กำลังหมดสติอยู่รอมร่อ ผู้โดยสารคนหนึ่งร้องตระโกนว่า “คนแก่เป็นลม ช่วยกันเร็ว พยุงขึ้นมาก่อน แล้วค่อยโทรแจ้งตำรวจ”
เมื่อเร็วๆนี้ สื่อทางการจีน คือหนังสือพิมพ์กวงหมิงได้นำเสนอกรณีเสี่ยวเย่ว์เย่ว์และหนทางแก้ไขปัญหาคุณธรรมมนุษย์ โดยยกกรณีผู้มีจิตเมตตาที่เข้าไปช่วยเหลือเหยื่อในอุบัติเหตุรถบรรทุกชนที่แคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2547 แต่ด้วยขาดความรู้ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจึงทำให้เหยื่อเป็นอัมพาต และเจ้าทุกข์ก็ฟ้องร้องเป็นคดีความยืดเยื้อหลายปี ในปี 2552 มลรัฐแคลิฟอร์เนียก็ออกกฤษฎีกาคุ้มครองผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ที่ต้องคดีความในกรณีช่วยเหลือผู้อื่น
ในบทความหนังสือพิมพ์กวงหมิงได้ชี้ว่า “กฎหมายและเทคนิกกลไกอันละเอียดอ่อน อาจเป็นเครื่องรับประกันคุณธรรมในสังคม กฎหมายอาจช่วยปกป้องผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นแต่กลับถูกกล่าวหา แต่ในความเป็นจริง การประณามความเสื่อมถอยด้านคุณธรรมของสังคมเป็นการกล่าวอย่างง่ายเกินไป การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจ ด้วยจิตใจที่งดงาม ก็มีปรากฏในสังคมจีนแทบทุกวันเช่นกัน คนที่เสียสละช่วยเหลือผู้อื่นก็มีอยู่นับไม่ถ้วน คนเหล่านั้นเพียงบอกว่าไม่เป็นไร เป็นใครก็ต้องทำต้องช่วยเหลือกันเช่นนี้ นี่คือ สัญชาติญาณอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ”
จากบทความของกวงหมิงได้แสดงความเชื่อมั่นในสัญชาติญาณดีงามของมนุษย์ในสังคมจีน ดังนี้ เมื่อเรานำกรณีที่ดำมืดอย่างคดีอี๋ว์เผิงถึงกรณีเสี่ยวเย่ว์เย่ว์มาต่อเข้าด้วยกัน ก็จะได้ภาพดำมืด และหากนำกรณีที่สะท้อนจิตใจที่งดงามมาต่อเข้ากันก็จะได้ภาพที่สว่างไสว ขั้นตรงข้าม ไม่ว่าความดี-เลว ความมืด-สว่าง เป็นของคู่กันในโลกมนุษย์ ดังที่ในปรัชญาโบราณของจีนฝ่ายเต๋าได้สาธาถยายไว้ แต่ว่าภาพไหนจะใหญ่กว่ากัน
“พวกเราได้ผ่านวันเวลาดำเนินกระบวนการขจัดความยากจน เมื่อ ‘มือหนึ่งแข็ง’ ‘มือหนึ่งก็อ่อน’ นี่คือสาเหตุสำคัญที่นำพาพวกเรามาสู่สังคมที่เย็นชาเช่นนี้ ปัญหาเช่นนี้กำลังแพร่หลาย สร้างความชาชิน และกลายเป็นเรื่องปกติของสังคม เป็นปัญหาที่กัดกร่อนจิตวิญญาณสังคมจีนมานานแล้ว
พวกเราไม่อาจปัดความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย ณ เวลานี้ ผู้นำต้องทบทวนถึงรากเหง้าต้นตอของโศกนาฏกรรม ใช้ “มีดคมแห่งความรู้” ชำแหละความป่วยผิดปกติในร่างกายของเรา อดทนต่อความเจ็บปวดในการผ่าตัดบาดแผลลึกลงไปในเนื้อเส้นเลือดกระดูก เพื่อปลุกสังคมจีนขึ้นมา” นาย วัง หยัง เลขาธิการพรรคอมมิวนิสต์สาขากว่างโจว กล่าวถึงกรณีเสี่ยวเย่ว์เย่ว์ ในที่ประชุมพรรคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลก่วงตงเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม
จีนยังมีหลักปรัชญาอันลุ่มลึก ที่อาจหยิบยกขึ้นมาพิจารณาไม่ว่ายุคสมัยใด
เมื่อสูญเสียเต๋า ก็บังเกิดคุณธรรม
เมื่อสูญเสียคุณธรรม ก็บังเกิดมนุสสธรรม
เมื่อสูญเสียมนุสสธรรม ก็บังเกิดครรลองธรรม
เมื่อสูญเสียครรลองธรรม ก็บังเกิดพิธีกรรม
พิธีกรรมซึ่งอาจรวมไปถึงกฏกรอบข้อบังคับต่างๆ คือ ส่วนที่บางที่สุด
ผู้นำแห่งยุค“สังคมนิยมแบบจีน” ก็ต้องใคร่ครวญ และทบทวนเต๋า หรือมรรคากันอย่างหนักหน่วงทีเดียว ที่จะใช้อะไรมาขจัดความเย็นชาในจิตใจจิตวิญญาณของผู้คนในสังคม.