เอเยนซี - เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเยอรมนีกล่าวว่า วิกฤตการเงินในโลกตะวันตกตอนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนโยบายค่าเงินของจีน ขณะที่โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า ก.ม.ค้านการปั่นค่าเงินหยวน ไม่ใช่วิธีการรับมือกับประเด็นสกุลเงินของจีน
นายแวร์เนอร์ ออยเออร์ รมช.ต่างประเทศเยอรมนี กล่าวเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ว่า ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตหนี้ จีนอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ ซึ่งบรรดาชาติตะวันตกควรทบทวนนโยบายเศรษฐกิจของตนเองด้วย แทนที่จะหมกมุ่นเรื่องค่าเงินหยวนของจีน
นายออยเออร์กล่าวในการประชุม Chicago Council on Global Affairs ว่าเขาไม่ค่อยพอใจนโยบายค่าเงินของจีน แต่ก็คิดว่าวิกฤติของตะวันตกเป็นเพราะ โครงสร้างของตนอ่อนแอเองไม่ควรไปโทษจีน
"เราต้องยอมรับความจริงว่า จีนแข็งแกร่งเพราะเป็นผู้ถือครองสกุลเงินต่างประเทศทั่วโลกรายใหญ่ที่สุด และผมอาจจะไม่พอใจนโยบายค่าเงินของจีนก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เรามีปัญหากันอยู่ในทุกวันนี้" นายฮอยเออร์กล่าว
สำนักข่าวซินหวารายงานว่า ความเห็นนายออยเออร์ อยู่ในช่วงที่วุฒิสภาสหรัฐกำลังถกเรื่องการผ่านร่างกฎหมายตรวจสอบจีนที่กดค่าเงินหยวนต่ำกว่าความเป็นจริง รวมถึงเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ขณะที่วันเดียวกันนั้น นายจอห์น โบห์เนอร์ โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็กล่าวว่า การลงคะแนนเสียงเพื่ออนุมัติให้มีการอภิปรายร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปั่นค่าเงินของจีนของวุฒิสภานั้น ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยง
"ผมคิดว่าเป็นเรื่องอันตราย ที่จะบีบประเทศใดประเทศหนึ่งให้รับมือกับมูลค่าสกุลเงินในประเทศของตัวเอง ด้วยการจะผลักดันร่างกฎหมายให้ผ่านสภาคองเกรส" โบห์เนอร์กล่าวกับผู้สื่อข่าว และบอกว่าเขาไม่มั่นใจว่า นี่จะเป็นวิธีการรับมือกับประเด็นเรื่องสกุลเงินของจีน
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงคะแนนเสียงอนุมัติให้มีการอภิปรายร่างกฎหมายตรวจสอบจีนที่กดค่าเงินหยวนต่ำกว่าความเป็นจริง โดยมีเป้าหมายที่จะกดดันจีนให้ปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นซึ่งจีนได้ออกมาแสดงจุดยืนในการคัดค้านการลงมติของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยทันควันและอย่างเต็มที่ โดยชี้ว่า การกระทำดังกล่าวนั้นละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก และยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สำนักปริวรรตเงินตราของรัฐบาลจีน (SAFE) เปิดเผยรายงานเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ว่า ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้ประเทศเหล่านั้นต้องควบคุมด้านการคลัง จนไร้มาตรการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน ขณะเดียวกันปัญหาหนี้สินฯ เหล่านั้น ก็อาจทำให้เกิดความผันผวนขึ้นในตลาดการเงินโลกด้วย
รายงานดังกล่าวระบุว่า หลังสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ตลาดหุ้นที่สำคัญๆ ทั่วโลกต่างก็ร่วงตาม เช่นเดียวกับราคาน้ำมันก็ด้วยสาเหตุเดียวกัน ภาวะวิกฤติเลวร้ายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่วิกฤติตลาดการเงินโลกรอบใหม่ด้วย