หอมกลิ่นหยวนแข็งค่า เงินร้อนไหลเข้าจีน

บลูมเบิร์ก – เงินร้อนกำลังทะลักเข้าแดนมังกร หลังจากจีนส่งสัญญาณชัดเจน เตรียมปล่อยเงินหยวนแข็งค่า

นาย อี้ กัง หัวหน้าสำนักปริวรรตเงินตราต่างประเทศแห่งชาติจีน (SAFE) ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร (9 มี.ค.) ว่า การคาดการณ์เกี่ยวกับเงินหยวนแข็งค่าจะมีมากขึ้นในปีนี้ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ย ที่สูงของจีนเมื่อเทียบกับชาติอื่น จึงอาจดึงดูดให้กองทุนเก็งกำไรระยะสั้นจากต่างชาติทะลักเข้าแดนมังกร โดยขณะนี้เงินร้อนกำลังทยอยเข้ามาแล้วอย่างลับลวงพราง เพื่อหวังเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยอำพรางเข้ามาในรูปของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ และบัญชีการค้า ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนเงินใต้ดิน

อย่างไรก็ตาม ปริมาณเงินร้อน ที่ไหลเข้ามา ไม่สามารถคำนวณออกมาได้ทั้งหมดด้วยวิธีนำตัวเลขการเกินดุลการค้าของจีน และการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ มาหักลบออกจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากยังขาดการวิเคราะห์ตัวแปรอื่น ๆ เช่น กำไรจากการลงทุนของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และกำไรจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนั้น นายอี้ระบุว่า ยังมีแนวโน้มที่บริษัทและสถาบันต่าง ๆ จะแปลงสินทรัพย์เป็นสกุลเงินหยวนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็แปลงหนี้สินเป็นสกุลเงินต่างชาติเพิ่มจากเดิม

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าแถลงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนประจำปีเมื่อวันศุกร์ (5 มี.ค.) ว่า จีนจะยังคงรักษาเสถียรภาพของเงินหยวนในระดับพื้นฐานต่อไปสำหรับปีนี้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่า ครอบคลุมถึงการเพิ่มค่าเงินหยวน อันเป็นอำนาจการตัดสินใจของนายเวิน กับคณะรัฐมนตรี

ด้านนายโจว เสี่ยวฉวน ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนแถลงต่อมาว่า ในที่สุดแล้ว รัฐบาลปักกิ่งจะต้องเลิกนโยบายเงินหยวน “พิเศษ” ซึ่งเป็นมาตรการฉุกเฉินอันหนึ่ง เพื่อรักษาเศรษฐกิจจีนให้เติบโต แต่ต้องถอนตัวจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี2551และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนโดยเลือกจังหวะเวลาอย่างรอบคอบที่สุด

ที่ผ่านมา พญามังกรถูกสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกดดันให้เลิกตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน ที่ระดับประมาณ 6.83 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่กลางปี 2551 เพื่อให้สินค้าส่งออกแดนมังกรแข่งขันในตลาดโลกได้ในช่วงวิกฤตการเงินโลก

นอกจากประเด็นเงินร้อนแล้ว นายอี้ ซึ่งยังทำหน้าที่บริหารจัดการทุนสำรองเงินตราต่างประเทศได้ยืนยันว่า มีการนำทุนสำรองไปกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมทั้งในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร และเยน และมิได้นำไปเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดเงินแต่อย่างใด โดยการลงทุนช่วงปี2551และ2552 ประสบความสำเร็จ ทำรายได้ใกล้เคียงกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก