จากการดำเนินแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้งบลงทุนถึง 4 ล้านล้านหยวน หรือ 585,000 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้รัฐบาลมังกรสามารถกอบกู้การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ส่อเค้าชะลอตัวในต้นปีที่แล้วเนื่องจากผลกระทบวิกฤตการเงินโลก โดยตัวเลขอัตราเติบโต บ่ายหน้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2552 ที่ผ่านมา จากร้อยละ 6.1 ในไตรมาสหนึ่ง สู่ร้อยละ 7.9 ในไตรมาสสอง และสู่ร้อยละ 8.9 ในไตรมาสสาม พร้อมกระแสคาดการณ์ตัวเลขอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปีที่ผ่านมาของแดนมังกร จะบรรลุเป้าร้อยละ 8
ในปีที่ผ่านมา จีนได้ขึ้นแท่นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก โดยแซงหน้าเยอรมนี และปีนี้ลุ้นกันว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าญี่ปุ่น ได้ขึ้นแท่นอันดับสอง โดยเป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา
แต่เส้นทางไปสู่จ้าวเศรษฐกิจโลกอันดับสองในปีนี้ ดูจะไม่ราบรื่นเลย ในปีเสือนี้ พญามังกรยังต้องพิชิตอุปสรรคเศรษฐกิจสามด้านที่ดุดั่งเสือร้าย อันได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อ ลัทธิปกป้องการค้า และความไม่เสมอภาค
ขณะนี้ ผู้นำจีนได้ปะปัญหาเงินเฟ้อประเภทหนึ่งเข้าให้แล้ว ปัญหาดังกล่าวเป็นผลพวงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ จนกระทั่งยอดสินเชื่อที่กลุ่มธนาคารปล่อยออกมาในปีที่แล้วมียอดสูงถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งยังมีกระแสเงินทุนเก็งกำไรจากต่างแดนทะลักเข้ามา ขณะเดียวกันราคาสินทรัพย์ในภาคการเงิน อย่างราคาหุ้น และราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ฉายสัญญาณฟองสบู่ที่น่ากลัวยิ่ง โดยราคาซื้อขายที่ดินในปีที่ผ่านมา พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และราคาอพาร์ทเมนต์ในฮ่องกง ยังได้พุ่งกระฉูดจนโลกตะลึง (9,200 เหรียญสหรัฐ ต่อ ตารางฟุต) ราคาซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นเติบโต (Growth-stock market) แห่งใหม่ในเซินเจิ้นงวดแรก สูงขึ้นสองเท่าตัวในวันแรกของการซื้อขาย และไม่กี่เดือนต่อมา ราคาซื้อขายหุ้นงวดสองในตลาดฯนี้ ก็ได้พุ่งทะยานขึ้นอีกสามเท่าตัว
ในขณะที่ราคาสินทรัพย์พุ่งสูง และราคาสินค้าวัตถุดิบพื้นฐานอย่างน้ำมัน และสินแร่เหล็ก ต่างทะยานสูงเป็นประวัติการณ์นั้น ราคาค้าปลีกแทบไม่ขยับตัวขึ้นเลย ด้วยสภาพการณ์ดังกล่าวมานี้ ทำให้ธนาคารกลางและรัฐบาลต่างเผชิญสถานการณ์ที่สับสน และต่างก็ไม่รู้แนวทางแก้ปัญหาที่ชัดเจน สำหรับนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยที่พูดๆกันนั้น ก็จะยิ่งดูดเงินสดออกจากกระเป๋าลูกค้าและผู้ผลิต อีกทั้งชะลอการเติบโตให้ตกอยู่ในสภาพคลานต้วมเตี้ยมไป และท้ายที่สุดก็ไม่ผิดอะไรกับการฆ่าตัวตายทางการเมืองของผู้นำในกรุงปักกิ่ง
ขณะนี้ กลุ่มผู้นำกำลังหันมาควบคุมการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดแรงกดดันภาคการเงิน แต่มันอาจไม่สำเร็จ ด้วยความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นระหว่างเหล่าธนาคารและรัฐบาลท้องถิ่น อาจทำให้สินเชื่อก้อนใหม่ ไม่ตกไปอยู่ที่ภาคการผลิต
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในปีหน้า ไว้ที่ระดับที่น้อยกว่าระดับเมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา ถึงร้อยละ 25 ยิ่งไปกว่านี้ สองในสามของเงินกู้ที่แบงค์จะปล่อยออกมา อาจตกไปอยู่ที่โครงการสาธารณูปโภคที่ก่อสร้างยังไม่เสร็จ และอาจตกไปถึงโครงการธุรกิจใหม่ๆเพียงเล็กน้อย
หากรัฐบาลเห็นว่านโยบายคุมเข้ม ฉุดการขยายตัวทางเศรษฐกจลงอย่างฮวบฮาบ ก็อาจปล่อยวางปัญหาเงินเฟ้อ เพราะเห็นว่าเป็นปิศาจที่มีฤทธิ์น้อยกว่า แต่ความไร้เสถียรภาพในภาคการเงิน ก็จะสร้างความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง
เสืออุปสรรคเศรษฐกิจตัวที่สอง ที่ผู้นำจีนต้องเจอในปีนี้ ก็คือ ลัทธิปกป้องหรือกีดกั้นทางการค้า ปัญหานี้ได้เปิดฉากตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังมีการต่อสู้ประปรายอยู่ในขณะนี้ โดยวอชิงตันได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้ายางรถยนต์จีนในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และจีนเองก็ศอกกลับด้วยวิธีการเดียวกัน ประกาศลงดาบมาตรการภาษีต่อสินค้าเหล็กบางประเภทที่นำเข้าจากอเมริกาและรัสเซียในต้นเดือนธัวาคมที่ผ่านมา เพื่อสกัดการทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้าส่งออกประเภทดังกล่าว ขณะเดียวกันอัตราแลกเปลี่ยนเงินจีนที่ประเทศคู่ค้าชี้ว่าต่ำค่ากว่าความเป็นจริงนั้น ก็ถูกมองว่าเป็นการอุดหนุนการค้ารูปแบบหนึ่งที่ไม่เป็นธรรม
เศรษฐกรบางกลุ่มออกมาชี้ว่า การที่ผู้นำจีนไม่ทำอะไรในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้น สร้างความชอบธรรมให้แก่การใช้มาตรการภาษีการค้า โดยช่วยปรับสมดุลการค้าโลก กลุ่มนักการเมืองในกรุงวอชิงตันที่ข้องใจจีน ก็จ้องที่จะกระโจนลงมาร่วมศึกต่อกรกับจีนบนเวทีการค้า หากอัตราว่างงานในสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 10 ยังขยับสูงขึ้นต่อไป และข้ออ้างที่พวกเขาจะงัดออกมาก็คือ การผลิตของจีนเป็นภัยคุกคามต่อภาวะโลกร้อน จริงหรือไม่จริงก็ตาม กำแพงการค้านี้ ก็จะทำเศรษฐกิจแดนมังกรซึ่งพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก ชะงัก
สำหรับเสืออุปสรรคเศรษฐกิจตัวที่สาม ได้แก่ ความไม่เสมอภาค ปัญหานี้อาจดูเหมือนเป็นปัญหาน้อยที่สุด แต่ก็อันตรายที่สุด การผสมโลงระหว่างราคาสินทรัพย์ที่พุ่งสูงอย่างรวดเร็วกับค่าแรงที่ไม่ค่อยขยับขึ้นเท่าไหร่นัก กำลังถ่างช่องว่างระหว่างกลุ่มเจ้าของกิจการและกลุ่มแรงงานที่ยากไร้ ว่ากันว่าอัตราว่างงานร้อยละ 4 ที่หน่วยงานรัฐระบุนั้น ไม่รวมกลุ่มแรงงานอพยพราว 150 ล้านคน ขณะที่กลุ่มนักศึกษาที่จบการศึกษาออกมาและหางานทำได้นั้น มีไม่ถึงร้อยละ 7
สิ่งที่กลุ่มผู้กำหนดนโยบายวิตกกังวลมากสุดก็คือความไม่เท่าเทียมจะโหมกระพือความวุ่นวาย การสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ โดยสถาบันการศึกษาด้านสังคมศาสตร์ในมณฑลเจ้อเจียง ระบุว่าร้อยละ 96 ของผู้ตอบ “ไม่พอใจกลุ่มคนรวย” และจลาจลใหญ่เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วในมณฑลซินเจียง ก็หาใช่อุบัติเหตุเลย มันระเบิดจากช่องว่างความมั่งคั่งนี่เอง
ดัชนีชี้วัดที่มีอยู่ในขณะนี้ ต่างได้ระบุว่าสถานการณ์ความไม่เท่าเทียมในสังคมจีนทะยานถึงระดับเตือนภัยแล้ว โดยดัชนีจีนี (Gini Index) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการกระจายรายได้ ของจีนเมื่อปี 2526 เท่ากับ 0.28 ซึ่งเป็นระดับพอๆกับสวีเดน ญี่ปุ่น และเยอรมนี ต่อมาในปี 2550 ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ประเมินดัชนีจีนีจีน เท่ากับ 0.47 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศอาร์เจนตินา และเม็กซิโก
ผู้นำจีนอาจคลี่คลายปัญหาสามด้านนี้ไปทีละเปลาะในแต่ละช่วงเวลา โดยจัดการปัญหาเงินเฟ้อผ่านการควบคุมระบบธนาคาร จัดการปัญหาลัทธิปกป้องการค้าด้วยการทูต และความวุ่นวายด้วยกำลัง แต่หากปัญหาท้าทายทั้งสามด้านนี้จู่โจมเข้ามาในพลัน ปีเสือของพญามังกรก็จะเป็นปีเสือที่ดุร้ายน่ากลัวจริงๆ.
ในปีที่ผ่านมา จีนได้ขึ้นแท่นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก โดยแซงหน้าเยอรมนี และปีนี้ลุ้นกันว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าญี่ปุ่น ได้ขึ้นแท่นอันดับสอง โดยเป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา
แต่เส้นทางไปสู่จ้าวเศรษฐกิจโลกอันดับสองในปีนี้ ดูจะไม่ราบรื่นเลย ในปีเสือนี้ พญามังกรยังต้องพิชิตอุปสรรคเศรษฐกิจสามด้านที่ดุดั่งเสือร้าย อันได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อ ลัทธิปกป้องการค้า และความไม่เสมอภาค
ขณะนี้ ผู้นำจีนได้ปะปัญหาเงินเฟ้อประเภทหนึ่งเข้าให้แล้ว ปัญหาดังกล่าวเป็นผลพวงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ จนกระทั่งยอดสินเชื่อที่กลุ่มธนาคารปล่อยออกมาในปีที่แล้วมียอดสูงถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งยังมีกระแสเงินทุนเก็งกำไรจากต่างแดนทะลักเข้ามา ขณะเดียวกันราคาสินทรัพย์ในภาคการเงิน อย่างราคาหุ้น และราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ฉายสัญญาณฟองสบู่ที่น่ากลัวยิ่ง โดยราคาซื้อขายที่ดินในปีที่ผ่านมา พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และราคาอพาร์ทเมนต์ในฮ่องกง ยังได้พุ่งกระฉูดจนโลกตะลึง (9,200 เหรียญสหรัฐ ต่อ ตารางฟุต) ราคาซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นเติบโต (Growth-stock market) แห่งใหม่ในเซินเจิ้นงวดแรก สูงขึ้นสองเท่าตัวในวันแรกของการซื้อขาย และไม่กี่เดือนต่อมา ราคาซื้อขายหุ้นงวดสองในตลาดฯนี้ ก็ได้พุ่งทะยานขึ้นอีกสามเท่าตัว
ในขณะที่ราคาสินทรัพย์พุ่งสูง และราคาสินค้าวัตถุดิบพื้นฐานอย่างน้ำมัน และสินแร่เหล็ก ต่างทะยานสูงเป็นประวัติการณ์นั้น ราคาค้าปลีกแทบไม่ขยับตัวขึ้นเลย ด้วยสภาพการณ์ดังกล่าวมานี้ ทำให้ธนาคารกลางและรัฐบาลต่างเผชิญสถานการณ์ที่สับสน และต่างก็ไม่รู้แนวทางแก้ปัญหาที่ชัดเจน สำหรับนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยที่พูดๆกันนั้น ก็จะยิ่งดูดเงินสดออกจากกระเป๋าลูกค้าและผู้ผลิต อีกทั้งชะลอการเติบโตให้ตกอยู่ในสภาพคลานต้วมเตี้ยมไป และท้ายที่สุดก็ไม่ผิดอะไรกับการฆ่าตัวตายทางการเมืองของผู้นำในกรุงปักกิ่ง
ขณะนี้ กลุ่มผู้นำกำลังหันมาควบคุมการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดแรงกดดันภาคการเงิน แต่มันอาจไม่สำเร็จ ด้วยความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นระหว่างเหล่าธนาคารและรัฐบาลท้องถิ่น อาจทำให้สินเชื่อก้อนใหม่ ไม่ตกไปอยู่ที่ภาคการผลิต
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อในปีหน้า ไว้ที่ระดับที่น้อยกว่าระดับเมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา ถึงร้อยละ 25 ยิ่งไปกว่านี้ สองในสามของเงินกู้ที่แบงค์จะปล่อยออกมา อาจตกไปอยู่ที่โครงการสาธารณูปโภคที่ก่อสร้างยังไม่เสร็จ และอาจตกไปถึงโครงการธุรกิจใหม่ๆเพียงเล็กน้อย
หากรัฐบาลเห็นว่านโยบายคุมเข้ม ฉุดการขยายตัวทางเศรษฐกจลงอย่างฮวบฮาบ ก็อาจปล่อยวางปัญหาเงินเฟ้อ เพราะเห็นว่าเป็นปิศาจที่มีฤทธิ์น้อยกว่า แต่ความไร้เสถียรภาพในภาคการเงิน ก็จะสร้างความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง
เสืออุปสรรคเศรษฐกิจตัวที่สอง ที่ผู้นำจีนต้องเจอในปีนี้ ก็คือ ลัทธิปกป้องหรือกีดกั้นทางการค้า ปัญหานี้ได้เปิดฉากตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังมีการต่อสู้ประปรายอยู่ในขณะนี้ โดยวอชิงตันได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้ายางรถยนต์จีนในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และจีนเองก็ศอกกลับด้วยวิธีการเดียวกัน ประกาศลงดาบมาตรการภาษีต่อสินค้าเหล็กบางประเภทที่นำเข้าจากอเมริกาและรัสเซียในต้นเดือนธัวาคมที่ผ่านมา เพื่อสกัดการทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้าส่งออกประเภทดังกล่าว ขณะเดียวกันอัตราแลกเปลี่ยนเงินจีนที่ประเทศคู่ค้าชี้ว่าต่ำค่ากว่าความเป็นจริงนั้น ก็ถูกมองว่าเป็นการอุดหนุนการค้ารูปแบบหนึ่งที่ไม่เป็นธรรม
เศรษฐกรบางกลุ่มออกมาชี้ว่า การที่ผู้นำจีนไม่ทำอะไรในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้น สร้างความชอบธรรมให้แก่การใช้มาตรการภาษีการค้า โดยช่วยปรับสมดุลการค้าโลก กลุ่มนักการเมืองในกรุงวอชิงตันที่ข้องใจจีน ก็จ้องที่จะกระโจนลงมาร่วมศึกต่อกรกับจีนบนเวทีการค้า หากอัตราว่างงานในสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 10 ยังขยับสูงขึ้นต่อไป และข้ออ้างที่พวกเขาจะงัดออกมาก็คือ การผลิตของจีนเป็นภัยคุกคามต่อภาวะโลกร้อน จริงหรือไม่จริงก็ตาม กำแพงการค้านี้ ก็จะทำเศรษฐกิจแดนมังกรซึ่งพึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก ชะงัก
สำหรับเสืออุปสรรคเศรษฐกิจตัวที่สาม ได้แก่ ความไม่เสมอภาค ปัญหานี้อาจดูเหมือนเป็นปัญหาน้อยที่สุด แต่ก็อันตรายที่สุด การผสมโลงระหว่างราคาสินทรัพย์ที่พุ่งสูงอย่างรวดเร็วกับค่าแรงที่ไม่ค่อยขยับขึ้นเท่าไหร่นัก กำลังถ่างช่องว่างระหว่างกลุ่มเจ้าของกิจการและกลุ่มแรงงานที่ยากไร้ ว่ากันว่าอัตราว่างงานร้อยละ 4 ที่หน่วยงานรัฐระบุนั้น ไม่รวมกลุ่มแรงงานอพยพราว 150 ล้านคน ขณะที่กลุ่มนักศึกษาที่จบการศึกษาออกมาและหางานทำได้นั้น มีไม่ถึงร้อยละ 7
สิ่งที่กลุ่มผู้กำหนดนโยบายวิตกกังวลมากสุดก็คือความไม่เท่าเทียมจะโหมกระพือความวุ่นวาย การสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ โดยสถาบันการศึกษาด้านสังคมศาสตร์ในมณฑลเจ้อเจียง ระบุว่าร้อยละ 96 ของผู้ตอบ “ไม่พอใจกลุ่มคนรวย” และจลาจลใหญ่เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วในมณฑลซินเจียง ก็หาใช่อุบัติเหตุเลย มันระเบิดจากช่องว่างความมั่งคั่งนี่เอง
ดัชนีชี้วัดที่มีอยู่ในขณะนี้ ต่างได้ระบุว่าสถานการณ์ความไม่เท่าเทียมในสังคมจีนทะยานถึงระดับเตือนภัยแล้ว โดยดัชนีจีนี (Gini Index) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการกระจายรายได้ ของจีนเมื่อปี 2526 เท่ากับ 0.28 ซึ่งเป็นระดับพอๆกับสวีเดน ญี่ปุ่น และเยอรมนี ต่อมาในปี 2550 ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี ประเมินดัชนีจีนีจีน เท่ากับ 0.47 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศอาร์เจนตินา และเม็กซิโก
ผู้นำจีนอาจคลี่คลายปัญหาสามด้านนี้ไปทีละเปลาะในแต่ละช่วงเวลา โดยจัดการปัญหาเงินเฟ้อผ่านการควบคุมระบบธนาคาร จัดการปัญหาลัทธิปกป้องการค้าด้วยการทูต และความวุ่นวายด้วยกำลัง แต่หากปัญหาท้าทายทั้งสามด้านนี้จู่โจมเข้ามาในพลัน ปีเสือของพญามังกรก็จะเป็นปีเสือที่ดุร้ายน่ากลัวจริงๆ.