รอยเตอร์ – ผลสำรวจล่าสุด ระบุชาวออสเตรเลียกำลังมีทัศนคติ ที่เฉยเมยต่อจีน โดยเชื่อว่า จีนเข้ามาลงทุนบนแดนจิงโจ้มากเกินไป และต้องการให้มีการจำกัดอิทธิพลของพญามังกร
จากผลสำรวจของโลวี่ อินสติติวต์ ฟอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โพลิซี (lowy Institute for International policy) ซึ่งมีสำนักงานในนครซิดนีย์ เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (13 ต.ค.) ระบุว่า ชาวออสเตรเลียครึ่งหนึ่งมองว่า รัฐบาลของตนปล่อยให้จีนเข้ามาลงทุนในประเทศมากจนเกินไปแล้ว และแม้ว่าร้อยละ91 เห็นว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรี เควิน รัดด์ ควรสานสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างเป็นมิตรกับรัฐบาลปักกิ่ง แต่ร้อยละ46 ก็เห็นว่า รัฐบาลควรจัดการอย่างแข็งขัน ในการจำกัดอิทธิพลของจีน
เมื่อให้ชาวออสซี่จัดอันดับความรู้สึก ที่พวกตนมีต่อจีน ปรากฏว่า อยู่ที่ระดับ 53 ซึ่งเป็นความรู้สึกในลักษณะต้อนรับอย่างเสียไม่ได้ เทียบกับในปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 61
ขณะที่ความรู้สึกที่ชาวออสซี่มีต่อนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นชาติเพื่อนบ้านนั้น อยู่ที่ระดับ 83 และสหรัฐฯ ที่ระดับ 67
นอกจากนั้น ผลสำรวจยังระบุว่า ชาวออสเตรเลียมองการพัฒนาของจีนขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจในโลกว่า เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ ที่สำคัญที่สุดของออสเตรเลีย ซึ่งเพิ่มขึ้น 15 คะแนน จากปี 2549
และในขณะที่ร้อยละ57 เห็นว่า จีนไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามทางทหารแก่ออสเตรเลียในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่ก็มีผู้มองว่า น่าจะเป็นถึงร้อยละ 41 ทีเดียว
ทั้งนี้ การสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจประจำปีครั้งที่ 5 ในชื่อหัวข้อว่า “ออสเตรเลียกับโลก” ออสเตรเลียเป็นเพียงไม่กี่ชาติกลุ่มแรกในโลก ที่สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับจีนเมื่อปี 2515 และปัจจุบันจีนเป็นชาติคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลีย โดยมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 53,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเริ่มตึงเครียดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากบริษัทไชนัลโค ซึ่งเป็นวิสาหกิจรัฐผู้ผลิตโลหะของจีนพลาดการเข้าซื้อหุ้นมูลค่า 19,500 ล้านดอลลาร์ในริโอทินโต บริษัทผู้ผลิตสินแร่สัญชาติอังกฤษและออสเตรเลีย
นอกจากนั้น ยังเกิดคดีจับกุมพนักงาน 4 คนของริโอ ในข้อหาจารกรรมความลับด้านการค้า ต่อมาในเดือนกรกฎาคม รัฐบาลออสเตรเลียยังตัดสินใจออกวีซ่าให้นางรอบียะห์ กอเดียร์ ผู้นำชาวอุยกูร์พลัดถิ่น ซึ่งซ้ำเติมให้ความสัมพันธ์ยิ่งร้าวฉานหนัก