เอเจนซี - เศรษฐีฮ่องกงลูกชาย "ลี กาชิง" ทุ่มเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหน่วยที่ปรึกษาด้านการลงทุนและบริหารจัดการสินทรัพย์ของบริษัท เอไอจี อินเวสท์เมนต์ ในเครือเอไอจี หลังจากพลาดหวังแปรรูปยักษ์โทรคมนาคมฮ่องกง
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ริชาร์ด ลี เจ้าของแปซิฟิก เซ็นจูรี กรุ๊ป (พีซีจี) กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งฮ่องกง จรดหมึกซื้อหน่วยที่ปรึกษาด้านการลงทุนและบริหารจัดการสินทรัพย์ของบริษัท เอไอจี อินเวสท์เมนต์ ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัทประกันภัย อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) เป็นมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยตามข้อตกลง ริชาร์ด ลี จะจ่ายเงินสด 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อบริษัท เอไอจี อินเวสท์เมนต์ ซึ่งบริหารจัดการสินทรัพย์ของลูกค้ารายย่อยและสถาบันมูลค่ากว่า 89,000 เหรียญสหรัฐใน 32 ประเทศ โดยสินทรัพย์ของบริษัทรวมไปถึงกองทุนเอกชน กองทุนประกันความเสี่ยง และตราสารหนี้ ส่วนอีก 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นค่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในอนาคต
การตัดสินใจซื้อ เอไอจี อินเวสท์เมนต์ นับเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่สู่ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ของ ริชาร์ด ลี เจ้าของ "พีซีซีดับเบิลยู" บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของเกาะฮ่องกง และเป็นลูกชายของ ลี กาชิง หนึ่งในมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย โดยนอกจากธุรกิจข้างต้นแล้ว ลียังทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเคยลงทุนบริษัทประกันภัยในฮ่องกง ซึ่งมีหน่วยบริหารจัดการสินทรัพย์
นอกจากนี้ริชาร์ด ลียังเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ฮ่องกง อิโคโนมิก เจอร์นัลด์ และกำลังลงทุนในธุรกิจเรียลไทม์ และบริการข่าวการเงิน
ริชาร์ด ลี กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่า เขาพยายามจะแปรรูปบริษัทโทรคมนาคม พีซีซีดับเบิลยู และนำหุ้นมูลค่า 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มาแบ่งขายให้แก่เอกชนในราคาแสนถูกเพียงหุ้นละ 6 บาทกว่าเท่านั้น แต่แผนดังกล่าวก็ถูกขัดขวางจนล้มพับไป
สำหรับธุรกิจบริหารจัดการของเอไอจีนั้น กำลังเป็นที่วิตกกังวลว่าลูกค้าจะแห่ถอนการลงทุน เนื่องจากหวั่นได้รับผลกระทบจากข่าวเมื่อปีที่แล้วของเอไอจีบริษัทแม่ ซึ่งเคยเป็นบริษัทประกันรายใหญ่อันดับหนึ่งของโลกว่า ขาดสภาพคล่องจนเกือบล้มละลาย รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้ามาช่วยโอบอุ้ม โดยมีแผนซื้อหุ้นเอไอจี 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้านโฆษกของบริษัทแปซิฟิก เซ็นจูรี กรุ๊ปแถลงข่าวการซื้อหน่วยบริหารจัดการสินทรัพย์ของเอไอจี โดยระบุว่า “บริษัทเอไอจี อินเวสท์เมนต์ สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวของเรา และเราเชื่อว่าเราจะสามารถเพิ่มมูลค่าผ่านเครือข่ายของเราทั่วเอเชีย และทั่วโลก”
