เอเอฟพี – วุฒิสภาสหรัฐฯ เรียกผู้เชี่ยวชาญทะเลจีนใต้ให้ข้อมูลด่วน หวั่นความตึงเครียดครั้งใหม่ระหว่างจีน-เวียดนามขยายตัว ร้อง “โอบามา” เพิ่มกำลังทางทะเลเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อกับการขยายอำนาจทางทหารของจีน
ในการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทะเลจีนใต้ของวุฒิสภาสหรัฐฯ นายสก๊อต มาร์ซีล รองผู้ช่วยเลขานุการกระทรวงต่างประเทศที่ดูแลกิจการในเอเชีย เปิดเผยว่า สัญญาณความตึงเครียดในทะเลจีนใต้เริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อจีนได้แจ้งต่อหน่วยงานสหรัฐฯ และบริษัทน้ำมันต่างชาติ ให้ระงับการดำเนินกิจการใดๆ ในทะเลจีนใต้กับคู่ค้าชาวเวียดนาม
“เราไม่ยอมให้มีการข่มขู่บริษัทของสหรัฐฯ เรายังบอกให้ทุกชาติที่อ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ พยายามควบคุมอารมณ์และหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเพื่อแย่งชิงหมู่เกาะต่างๆ” นายมาร์ซีล เผย และกล่าวอีกว่า สหรัฐฯ ได้แจ้งข้อกังวลนี้ต่อจีนโดยตรงแล้ว และยืนยันว่าจะไม่เข้าข้างประเทศใดๆ ในความขัดแย้งเรื่องนี้
ด้าน นายจิม เวบบ์ วุฒิสมาชิก และอดีตเลขานุการกองทัพเรือสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า แม้บางครั้งสหรัฐฯ จำเป็นต้องเอาตัวออกห่างจากความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างชาติในเอเชีย แต่หากสหรัฐฯ ไม่ยอมแสดงจุดยืนต่อเรื่องนี้ ก็อาจทำให้จีนเกิดความเหิมเกริมและจะเพิ่มอำนาจทางทะเลให้เทียบเท่าสหรัฐฯ
“หากสหรัฐฯ ยังต้องการมีอำนาจเหนือชาติเอเชีย และมีอำนาจในทะเล ผู้นำของเรามีทางเลือกเดียว คือต้องเพิ่มปริมาณและความแข็งแกร่งของอำนาจทางทะเล” นายเวบบ์ ระบุ
จีนเริ่มมีปัญหากับเวียดนามตั้งแต่ก่อนสงครามเวียดนามยุติลงในปี 2517 เมื่อจีนได้ลุกล้ำหมู่เกาะพาราเซล ที่ถือเป็นเมืองหน้าด่านของเวียดนามใต้ และความตึงเครียดล่าสุดเกิดขึ้น เมื่อทางการเวียดนามตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลหมู่เกาะแห่งนี้ พร้อมกับแต่งตั้งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีทาโร่ อาโซะ ของญี่ปุ่นก็เคยสร้างความไม่พอใจให้แก่จีน เมื่อกล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาปกป้องหมู่เกาะแห่งความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับญี่ปุ่น
ขณะที่ นายริชาร์ด โครนิน ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จาก Stimson Center แสดงความเห็นว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ควรยุติทัศนะในเรื่องอำนาจอธิปไตยที่ทำเหมือนเป็นฝ่ายถูกกระทำได้แล้ว
“อย่างน้อยรัฐบาลของโอบามาควรแสดงความเห็นใจต่อชาติในเอเชียที่ถูกรุกราน และยืนกรานสิทธิอันชอบธรรมในการเผชิญหน้ากับการยั่วยุของจีน”
พร้อมกันนี้ นายโครนินยังเห็นว่า สหรัฐฯ อาจต้องล้มเหลวหากพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของจีน “แทนที่จะทำเช่นนั้น เราควรหันมาให้ความเคารพต่อความทะเยอทะยานของจีน ที่ต้องการสถานะผู้นำและมหาอำนาจ เพียงแต่จีนต้องกระทำอยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์ที่นานาชาติกำหนดไว้” นายโครนิน กล่าวทิ้งท้าย