ความเคียดแค้นชิงชังระหว่างพลเมืองจีนเชื้อสายฮั่นกับเชื้อสายอุยกูร์ ไม่ว่าต่างฝ่ายจะอ้างเหตุผลใดก็ตาม ทว่าสุดท้ายแล้ว คนทั้งสองเชื้อชาติก็คือมนุษย์ปุถุชน ที่ร้องไห้และโศกเศร้าเป็นเหมือน ๆ กัน เหมือนความเศร้าโศกที่ครอบครัวคนขายผลไม้ชาวฮั่น ซึ่งอพยพเข้ามาอาศัยในเมืองอูหลู่มู่ฉีรายนี้กำลังได้รับ
อาทิตย์เลือดวันนั้น เมื่อพวกวัยรุ่นอุยกูร์ฮือกันออกมาตามท้องถนน ระบายความคลั่งแค้นด้วยการไล่ทำร้ายชาวฮั่นนั้น นางจาง อ้ายอิ๋ง รีบเข็นรถขายผลไม้ ซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากิน หนีม็อบ กลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัย
ทว่าเธอไม่เห็นลู่ หวาคุน ผู้เป็นลูกชาย เพราะเขาหวนกลับไปยังจุดที่ชาวอุยกูร์กำลังอาละวาด เพื่อหวังเอารถผลไม้ของครอบครัวอีกคันกลับคืนมา
“โทรไปที่เบอร์มือถืออาคุนที” หญิงวัย 46 ตะโกนบอกกับญาติ “บอกว่า เราอยากให้เขากลับบ้าน ไม่จำเป็นต้องกลับไปที่นั่นแล้ว”
แต่หวาคุนไม่รับโทรศัพท์!
เวลาผ่านไปอีก 3 ชั่วโมง เสียงกรีดร้องเสียงตะโกนก็เงียบลง นางจางรีบออกไปที่ถนน เห็นคนนอนตายราวสิบกว่าคน แล้วเธอก็เห็นลูกชายนอนอยู่ ศีรษะของหวาคุนมีเลือดอาบ บาดแผลที่แขนข้างซ้ายฉกรรจ์ถึงขนาดแขนเกือบขาดเป็น 3 ท่อน
การเสียชีวิตของหวาคุน เด็กหนุ่มวัย 25 ปี คือบทอวสานแห่งการเดินทางของคนครอบครัวหนึ่ง ซึ่งหลีกลี้จากหมู่บ้านเกษตรกรรม อันแร้นแค้นในภาคกลางของประเทศเมื่อสิบกว่าปีก่อน มุ่งแสวงหาชีวิตใหม่ ณ ดินแดนทะเลทราย ซึ่งอยู่ไกลโพ้นแห่งนี้
ครอบครัวของนางจางก็เหมือนกับผู้อพยพชาวฮั่นอีกมายมาย พวกเขาเดินทางมาตั้งรกรากในท่ามกลางชาวมุสลิมเชื้อชาติอุยกูร์ ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่สุดในดินแดนซินเจียง โดยได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐบาลจีน
และที่นี่อุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน !
การไหลทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสายของชาวฮั่น ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้ซินเจียงเปลี่ยนไป กล่าวคือประชากรเชื้อสายฮั่นมีอัตราส่วนสูงถึงร้อยละ 40 ในปี 2543 ขณะที่เมื่อปี 2492 มีเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น
“ เราต้องการทำมาค้าขาย” นายลู่ ซื่อเฟิง ผู้เป็นพ่อของหวาคุนเอ่ย
ดวงตาของชาย วัย 47 ปี วาววับด้วยหยาดน้ำตา ขณะนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เตียงนอน
“รัฐบาลน่ะ เรียกร้องให้พัฒนาภาคตะวันตก ที่นี่จะไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีคนฮั่น” เขากล่าว
ทว่าการอพยพเข้ามาของชาวฮั่นเปรียบเสมือนการราดน้ำมันไปบนกองไฟ ความตึงเครียดระหว่างชนต่างชาติพันธุ์ยิ่งเขม็งเกลียว ชาวอุยกูร์ร้องเรียนเรื่องที่พวกตนถูกแย่งงาน ธุรกิจการค้าขายของชาวฮั่นแผ่ขยาย และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ถูกทำลาย
วันอาทิตย์เลือดมีจุดเริ่มต้นจากการชุมนุมประท้วงของชาวอุยกูร์กว่า 1,000 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสอบสวนเหตุทะเลาะวิวาทที่โรงงานแห่งหนึ่งระหว่างชาวฮั่นกับชาวอุยกูร์
ทว่าเหตุการณ์กลับบานปลาย ชาวอุยกูร์เกิดความเดือดดาล เข้าต่อสู้กับกองกำลังรักษาความมั่นคง และเที่ยวไล่ทำร้ายพลเมืองฮั่นทั่วอูหลู่มู่ฉี
หวาคุนคือศพหนึ่งในจำนวน 156 ศพ ที่ถูกรุมทำร้ายจนตาย
นายลู่เล่าว่า เขาเดินทางไปที่สถานีตำรวจ เพื่อชี้ศพลูกชาย รูปถ่ายศพผู้เสียชีวิตกว่า 100 รูปนั้น ส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่น ซึ่งส่วนมากศีรษะถูกฟัน หรือถูกทุบจนแบะ
ศพผู้เคราะห์ร้ายมีหมายเลขกำกับไว้ และหวาคุนเป็นศพลำดับที่ 51
“ มันก็อยู่แล้วล่ะ ที่เมื่อไม่กี่วันมานี้ เราโกรธแค้นคนอุยกูร์” นายลู่กล่าว
“และเป็นธรรมดา ที่เรากลัวคนพวกนั้น”
ครอบครัวที่น่าสงสารรายนี้ เดินทางมาจากโจวโข่วในมณฑลเหอหนัน และมีรายได้เล็กน้อยจากอาชีพปลูกข้าวสาลี, ข้าวโพด และถั่วเหลืองเมื่อเห็นเพื่อนบ้านกลับจากซินเจียงมาเยี่ยมบ้าน มีเงินทองมาแจกจ่ายญาติพี่น้อง ครอบครัวลู่จึงตัดสินใจบ่ายหน้าไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
หวาคุนตามไปสมทบกับพ่อแม่ หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมต้น พวกเขาหาซื้อรถเข็นผลไม้ เปิดร้านขายที่ตลาดกลางแจ้ง ไม่ไกลจากถนนต้าวาน นอร์ท (Dawan North Road) และอยู่ตรงรอยต่อระหว่างย่านอาศัยของชาวฮั่นกับชาวอุยกูร์พอดี
ทุก ๆ วัน สามคนพ่อแม่ลูกจะออกไปขายของตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึงเที่ยงคืนจึงได้กลับบ้าน ถ้าเดือนไหนขายดี ก็จะมีรายได้มากถึง 300 ดอลลาร์ทีเดียว
ทว่าหวาคุนไม่มีความสุขกับชีวิตที่นั่น
“อยู่ที่นี่ เขาเหนื่อยมากค่ะ และก็ไม่ได้เงินมากมายอะไร” นางจางเล่า
วันคืนล่วงผ่านไป และไม่เคยมีวันไหนเลย ที่ครอบครัวลู่จะไม่รู้สึกคิดถึงบ้านเกิด แต่ก็ต้องกระเหม็ดกระแหม่ ไม่เคยกลับไปเยี่ยมเลย เพราะต้องการประหยัดค่าตั๋วรถไฟ จนกระทั่งเมื่อฤดูหนาว ที่ผ่านมานี่แหละ จึงได้มีโอกาสกลับไปเป็นครั้งแรก
ครอบครัวลู่อาศัยในห้องตึกแถวชั้นล่าง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตลาด ภายในเป็นห้องโล่ง ๆ ครัวที่ประกอบอาหารมีเพียงเตาแก๊ส 2 หัวเตา ตั้งห่างจากเตียงนอนของพ่อแม่ไม่กี่ฟุต
เพื่อนบ้านส่วนใหญ่เป็นคนจากมณฑลเหอหนัน และเสฉวน ซึ่งมีจำนวนราว 3 ใน 4 ของพ่อค้าแม่ค้าราว 200 คนในตลาด ส่วนพ่อค้าแม่ค้าชายอุยกูร์มีจำนวนแค่หยิบมือหนึ่ง โดยขายผลไม้และเนื้อแกะดิบ
“การรู้จักคบหากับคนอุยกูร์ก็จัดว่าดีพอใช้นะ” นางจางกล่าว
“มีแผงพ่อค้าขายเนื้อแกะอยู่เจ้าหนึ่ง ข้าง ๆรถผลไม้ลูกชายเรา บางคืนลูกไม่อยากเอาผลไม้กลับบ้าน ก็จะขอฝากเขาไว้ข้างในแผง”
หวาคุนนั้น พ่อแม่ได้เตรียมจัดงานแต่งให้กับเด็กสาววัย 23 ปี ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน เมื่อตอนที่ครอบครัวลู่กลับไปบ้านเกิด ซึ่งต้องรอนแรมอยู่บนรถไฟนานเกือบ 40 ชั่วโมง หวาคุนกับว่าที่เจ้าสาวยังได้ถ่ายรูปร่วมกันไว้
หวาคุนสวมเสื้อยืดคอเต่า นั่งเคียงข้างว่าที่เจ้าสาว เบื้องหลังเป็นฉากชายหาด ซึ่งทางร้านถ่ายรูปจัดเตรียมไว้ ทั้งคู่กอดตุ๊กตาหมีไว้บนตักคนละตัว ยิ้มอย่างมีความสุข
อาทิตย์เลือดวันนั้น คนเป็นพ่อเดินทางไปอีกจังหวัดหนึ่ง เพื่อหาซื้อผลไม้ นำมาขาย
นางจาง, หวาคุน และญาติรุ่นเยาว์อีกคน พากันเข็นรถ 4 คันไปขายของตามปกติ
พอตก 2 ทุ่มปั๊บ ! ผู้จัดการตลาดก็สั่งให้ปิดร้านค้าทันที โดยก่อนหน้านั้น ไม่กี่ชั่วโมง พวกอุยกูร์เริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงการปฏิบัติอย่างเลือกที่รักมักที่ชังของรัฐบาลจีนกันแล้ว เมื่อตำรวจปราบจลาจลยิงแก๊สน้ำตา และฟาดกระบองสลายการชุมนุม เหตุการณ์จึงลุกเป็นไฟ
ผู้ก่อจลาจลกลุ่มแรกดาหน้าเข้ามาในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ควงท่อนเหล็ก ควงมีดให้ว่อนไปหมด
หวาคุนวิ่งกลับถึงบ้านก่อนเป็นคนแรก แต่ด้วยความห่วงรถผลไม้ จึงหวนกลับไปอีก
นางจางร้องไห้คร่ำครวญอยู่นานจนไม่มีน้ำตาจะให้ร้อง
“ฉันคิดว่า ถ้าไม่เจอศพ ก็แสดงว่า หวาคุนอาจหนีไปซ่อน และยังมีชีวิตอยู่”
“ แต่ไม่นานเลย ก็เจอศพลูกจนได้”
กองกำลังรักษาความมั่นคงรุดมาถึงเมื่อเวลาตีหนึ่ง แล้วเก็บศพไปจนหมด
พอวันพุธ ผู้เป็นพ่อก็เดินทางมาชี้รูปถ่ายศพลูกชายที่สถานีตำรวจ
“หลังจากเผาศพเขาแล้ว เราจะนำอัฐิกลับบ้าน” นางจางกล่าว
“เราจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก” นายลู่เอ่ยขึ้นบ้าง พลางมองดูก้นบุหรี่ ที่หล่นเกลื่อนพื้นอย่างเลื่อนลอย
เหตุจลาจลที่อูหลู่มู่ฉีผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ก็สงบ ทหารจีนขีดเส้นแบ่งเมืองออกเป็น 2 ซีก ให้ชาวฮั่นชาวอุยกูร์ต่างคนต่างอยู่ ห้ามล้ำเขตแดน ยังคงมีรายงานข่าวทหารจีนฆ่าชาวอุยกูร์ออกมาประปราย ญาติพี่น้องของชาวอุยกูร์ที่ตายไป ก็เสียน้ำตาไม่แพ้กัน
ใครกันหนอคือผู้ลิขิตวิบากกรรมให้ชาวฮั่นและชาวอุยกูร์ต้องเป็นไปเช่นนี้?
แปลและเรียบเรียงจาก Migrants Describe Grief From China’s Strife จากนิวยอร์กไทมส์