เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล - ผลสำรวจบริษัทต่างชาติ 300 รายโดยหอการค้าสหภาพยุโรป หรืออียูบนแดนมังกร พบอุปสรรคด้านเศรษฐกิจในระยะยาวหลายประการ ที่รัฐบาลจีนจำเป็นต้องเร่งแก้ไข
ผลสำรวจ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (2 ก.ค.2552) ชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจ ที่แตกต่างกันระหว่างบริษัทต่างชาติกับรัฐบาลพญามังกรในหลายประเด็นสำคัญ กล่าวคือในขณะที่ทางการจีนมองว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างเลวร้ายที่สุดได้จบสิ้นลงแล้ว และเศรษฐกิจกำลังมุ่งหน้าไปสู่การฟื้นตัว
ทว่าบริษัท ซึ่งถูกสำรวจเกือบครึ่งหนึ่งกลับเห็นว่า กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต้องกินเวลานานถึงช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ขณะที่ร้อยละ 19 คาดว่า เศรษฐกิจจะฟื้นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
เรื่องน่าวิตกในระยะยาวอีกข้อหนึ่งคือแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (ราว585,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ) ของจีนขณะนี้ ซึ่งมุ่งเน้นโครงการก่อสร้างและให้บริการสิ่งสาธารณูปโภค นักธุรกิจขานรับ แต่ระบุว่า จะไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของจีนได้ โดยจีนต้องลดการผูกขาดกิจการ และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันมากขึ้น ผลสำรวจข้อนี้คล้ายคลึงกับผลการสำรวจความเห็นของบริษัทอเมริกันเมื่อต้นปี
นายเยิร์ก วุตต์เก้ ( Joerg Wuttke) ประธานหอการค้าอียูในจีนระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เท่าเทียมกันเป็นปัญหาใหญ่ โดยกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ ซึ่งมีความแข็งกร้าวขึ้น จะบังคับใช้กับบริษัทต่างชาติอย่างเข้มงวด ในขณะที่มีการบังคับใช้ชั่วครั้งชั่วคราวกับบริษัทจีน
จากผลสำรวจยังเผยให้เห็นความเชื่อกันอย่างกว้างขวางด้วยว่า จีนจะไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก อาทิ ปัจจุบัน จีนยังปล่อยให้มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากันอย่างครึกโครม เห็นได้จากห้างดังรายหนึ่งในกรุงปักกิ่งขายสินค้าผีเป็นส่วนใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ช่วยอธิบายว่า เหตุใดบริษัทที่ถูกสำรวจร้อยละ 43 จึงเห็นว่า จีนจำเป็นต้องมีวัฒนธรรมด้านกฎหมาย ที่เข้มแข็งกว่าที่เป็นอยู่
“ ถ้าหลักนิติธรรมแข็งแกร่งกว่าเดิม เศรษฐกิจก็จะโตเร็วขึ้น” นายวุตต์เก้ระบุ
ที่ผ่านมา เกิดข้อกล่าวหาว่านโยบายจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลจีนทำให้บริษัทต่างชาติตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ หอการค้าอียูในจีนได้เข้าร่วมการงัดข้ออย่างเปิดเผยกรณีการกีดกันทางการค้าของรัฐบาลจีน
ขณะที่คำสั่งเมื่อไม่นานของกระทรวงทรงอิทธิพลรายหนึ่งย้ำว่า บริษัทจีนควรเป็นผู้ได้ทำสัญญาส่วนใหญ่กับรัฐบาล
การปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งเห็นกันอย่างโจ่งแจ้งส่งผลให้เมื่อเดือนมิถุนายน นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ถึงกับต้องโทรศัพท์ถึงนายกรัฐมนตรี แองเกล่า แมร์เคลของเยอรมนี โดยรับปากว่าจะขจัดปัญหาเลือกที่รักมักที่ชังกีดกันบริษัทต่างชาติบนแดนมังกรให้หมดไปให้ได้