ไชน่า เดลี่ – รองนายกฯ “หลี่ เค่อเฉียง”ของจีน ยอมรับการค้าระหว่างประเทศอาจขยายตัวต่ำกว่าเป้า 8 เปอร์เซ็นต์ที่ตั้งไว้ แม้จะเห็นแววเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสแรก เตือนภาคการอุตสาหกรรมช่วงครึ่งปีหลังยังอ่อนแอ และเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวได้ช้าพอๆ กับประเทศอื่น
โดยนายหลี่ เค่อเฉียง รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการประจำสภาที่ปรึกษาการเมือง เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ว่า “การขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศของจีน ที่คาดว่าปีนี้น่าจะมีถึง 8 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจจะไปไม่ถึงเป้า และการส่งออกก็ไม่น่าฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น”
ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงที่เขากล่าวปาฐกถานั้น นายหลี่ได้สรุปสถานการณ์ล่าสุดทางด้านเศรษฐกิจให้คณะที่ปรึกษาทางการเมืองฟัง รวมถึงผลกระทบจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการจัดลำดับความสำคัญของงานที่รัฐบาลจะทำในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฝ่ายร่างนโยบายของจีนได้ตั้งเป้าไว้ว่า การค้าระหว่างประเทศของจีนในปีนี้จะมีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี แต่ปรากฎว่า ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณการค้าของจีนหดตัวลงถึง 24.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยนายหลี่กล่าวว่า ปริมาณการค้าที่ลดลง สืบเนื่องมาจากความต้องการสินค้าของตลาดต่างประเทศลดลง แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกจะมีเสถียรภาพ แม้ในไตรมาสแรกการเติบโตได้ลดลงไปอยู่ที่ 6.1 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เศรษฐกิจจีนทำท่าว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา เนื่องจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิของรัฐบาลที่ทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ รัฐบาลกลางของจีนก็ได้ใช้เงินไปแล้ว 562,000 ล้านหยวน เพื่อใช้ในโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคม หรือคิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ของงบที่รัฐบาลกลางได้ตั้งไว้เพื่อใช้ลงทุนตลอดทั้งปี
โดยงบลงทุนจำนวนดังกล่าว สามารถช่วยให้การขยายตัวของสินทรัพย์ในจีนช่วง 5 เดือนแรกมีอัตราสูงถึง 32.9 เปอร์เซ็นต์ และยังช่วยให้โรงงานในท้องถิ่นได้ขายสินค้า หรือกลับมาเปิดการผลิตได้อีก
“เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในระยะฟื้นตัว เพราะโครงการลงทุนของรัฐบาล และการฟื้นตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ทำให้มั่นใจได้ว่าอัตราเติบโตทางด้านการลงทุนจะมีต่อไปตลอดทั้งปีนี้ และไปจนถึงปีหน้า 2553 ด้วย” นั่นคือความเห็นของ นายหลี่ เว่ย นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด
อย่างไรก็ตาม รองนายกฯ หลี่ เค่อเฉียง กลับมองว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของจีนในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงอ่อนแอ และเศรษฐกิจของจีนจะฟื้นตัวได้ช้าพอๆ กับประเทศอื่นในโลก
ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง แต่ชาวจีนก็ยังคงใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งยอดขายในจีนมีมากที่สุดในโลก และในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มที่จะฟื้นตัว
ผลสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่จัดทำโดยฝ่ายวิจัยตลาดของอิปซอสส์ (Ipsos) บริษัทสำรวจและวิจัยตลาดจากฝรั่งเศส และรอยเตอร์ ปรากฎว่า ชาวจีนมีความมั่นใจเกี่ยวกับอนาคตมากกว่าประชาชนในชาติอื่น โดย 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีน ระบุว่าพวกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ ขณะที่ 60 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองเน็ตจากชาติอื่น ตอบว่าพวกเขามองไม่เห็นอนาคต
ขณะเดียวกัน 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีน เชื่อว่าเยาวชนในรุ่นต่อๆ ไปจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนรุ่นนี้ ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศอื่นๆ มากกว่าครึ่งเห็นว่า เยาวชนในรุ่นต่อๆ ไปจะมีสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่กว่าคนรุ่นนี้
การสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวจัดทำขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว โดยได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจาก 23 ชาติ รวมถึง ญี่ปุ่น สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย และอินเดีย และมีพลเมืองเน็ตมาร่วมตอบแบบสอบถามรวม 2,300 คน
โดยนายหลี่ เค่อเฉียง รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการประจำสภาที่ปรึกษาการเมือง เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ว่า “การขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศของจีน ที่คาดว่าปีนี้น่าจะมีถึง 8 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจจะไปไม่ถึงเป้า และการส่งออกก็ไม่น่าฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น”
ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงที่เขากล่าวปาฐกถานั้น นายหลี่ได้สรุปสถานการณ์ล่าสุดทางด้านเศรษฐกิจให้คณะที่ปรึกษาทางการเมืองฟัง รวมถึงผลกระทบจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการจัดลำดับความสำคัญของงานที่รัฐบาลจะทำในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฝ่ายร่างนโยบายของจีนได้ตั้งเป้าไว้ว่า การค้าระหว่างประเทศของจีนในปีนี้จะมีอัตราขยายตัวอยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี แต่ปรากฎว่า ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณการค้าของจีนหดตัวลงถึง 24.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยนายหลี่กล่าวว่า ปริมาณการค้าที่ลดลง สืบเนื่องมาจากความต้องการสินค้าของตลาดต่างประเทศลดลง แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกจะมีเสถียรภาพ แม้ในไตรมาสแรกการเติบโตได้ลดลงไปอยู่ที่ 6.1 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เศรษฐกิจจีนทำท่าว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา เนื่องจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิของรัฐบาลที่ทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ รัฐบาลกลางของจีนก็ได้ใช้เงินไปแล้ว 562,000 ล้านหยวน เพื่อใช้ในโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคม หรือคิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ของงบที่รัฐบาลกลางได้ตั้งไว้เพื่อใช้ลงทุนตลอดทั้งปี
โดยงบลงทุนจำนวนดังกล่าว สามารถช่วยให้การขยายตัวของสินทรัพย์ในจีนช่วง 5 เดือนแรกมีอัตราสูงถึง 32.9 เปอร์เซ็นต์ และยังช่วยให้โรงงานในท้องถิ่นได้ขายสินค้า หรือกลับมาเปิดการผลิตได้อีก
“เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในระยะฟื้นตัว เพราะโครงการลงทุนของรัฐบาล และการฟื้นตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ทำให้มั่นใจได้ว่าอัตราเติบโตทางด้านการลงทุนจะมีต่อไปตลอดทั้งปีนี้ และไปจนถึงปีหน้า 2553 ด้วย” นั่นคือความเห็นของ นายหลี่ เว่ย นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด
อย่างไรก็ตาม รองนายกฯ หลี่ เค่อเฉียง กลับมองว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของจีนในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงอ่อนแอ และเศรษฐกิจของจีนจะฟื้นตัวได้ช้าพอๆ กับประเทศอื่นในโลก
ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง แต่ชาวจีนก็ยังคงใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งยอดขายในจีนมีมากที่สุดในโลก และในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มที่จะฟื้นตัว
ผลสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่จัดทำโดยฝ่ายวิจัยตลาดของอิปซอสส์ (Ipsos) บริษัทสำรวจและวิจัยตลาดจากฝรั่งเศส และรอยเตอร์ ปรากฎว่า ชาวจีนมีความมั่นใจเกี่ยวกับอนาคตมากกว่าประชาชนในชาติอื่น โดย 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีน ระบุว่าพวกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ ขณะที่ 60 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองเน็ตจากชาติอื่น ตอบว่าพวกเขามองไม่เห็นอนาคต
ขณะเดียวกัน 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีน เชื่อว่าเยาวชนในรุ่นต่อๆ ไปจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนรุ่นนี้ ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศอื่นๆ มากกว่าครึ่งเห็นว่า เยาวชนในรุ่นต่อๆ ไปจะมีสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่กว่าคนรุ่นนี้
การสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวจัดทำขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว โดยได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจาก 23 ชาติ รวมถึง ญี่ปุ่น สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย และอินเดีย และมีพลเมืองเน็ตมาร่วมตอบแบบสอบถามรวม 2,300 คน