วอชิงตันโพสต์ – ‘เสรีภาพ’ เป็นคำที่มีความหมายไม่แน่นอน บางคนว่าเปลี่ยนแปลงได้ บางคนว่าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ผู้คนมากมายในแดนมังกรกำลังเสาะแสวงหาเสรีภาพใหม่ๆ ภายใต้ร่มเงาแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
แม้ว่าเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยเงียบหายไปในการสลายการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อ 20 ปีก่อน ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงยึดกุมอำนาจการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ แต่ผู้คนต่างยังระมัดระวังในการข้องแวะกับประเด็นทางการเมืองที่อ่อนไหวนี้ และกำลังทดลอง ‘เสรีภาพ’ ในรูปแบบอื่นๆ
ต่อไปนี้คือมุมมองที่หลากหลายของชาวจีนต่อความหมายของคำว่า ‘เสรีภาพ’
ฉียี่ว์ถิง : 72 ปี : แรงงานวัยเกษียณ และ สิงตงหัว : 73 ปี : ช่างไฟฟ้าวัยเกษียณ
ความทรงจำในวัยเยาว์ของฉียี่ว์ถิงมีแต่ความทุกข์ยากและหิวโหย เธอจำได้ว่าแม่ต้องคุกเข่าคำนับให้กับทหารญี่ปุ่นที่เข้ามารุกรานจีนตั้งแต่ปี 1937 ตอนที่เธออายุ 3 ขวบ ผู้คนในหมู่บ้านเดียวกันอยู่รอดได้ด้วยการกินเปลือกไม้ มีครั้งหนึ่งที่พ่อแม่ซื้อเค้กข้าวโพดมาให้ ซึ่งนานๆ จะมีสักครั้ง แต่ไม่ทันที่เธอจะได้กัดกิน ก็มีคนมาแย่งฉกไปจากมือเธอและวิ่งหนีไป ฉีพร่างพรูความทรงจำพร้อมน้ำตา
ฉีแต่งงานกับสิงตงหัวในปี 1960 และดำรงชีวิตท่ามกลางความวุ่นวายของการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งหากใครพลาดพลั้งก้าวผิดทิศ ก็อาจถึงขั้นกลายเป็นนักโทษหรือได้รับโทษร้ายแรงกว่านั้น
“ฉันคิดว่าทุกวันนี้เราอิสระมาก สมัยเหมาคุณไม่อาจพูดบางสิ่งบางอย่าง” สิงกล่าว พร้อมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ทุกวันนี้จีนมีเสรีภาพมากไปหรือเปล่า
ในความเห็นของฉี การชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินถือเป็นความผิดพลาดที่มีการสูญเสียชีวิตผู้คนไปไม่น้อย “ช่วงเวลานั้นน่ากลัวมาก แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตพวกเราก็ดีขึ้นมาแล้ว เรามีแต่จะความก้าวหน้า และเราส่งเสริมความสมานฉันท์”
จางลี่ฟาน : 59 ปี : นักประวัติศาตร์อิสระ อดีตนักโทษการเมือง
ในฐานะนักประวัติศาสตร์ จางลี่ฟานเห็นว่า จีนดำเนินอยู่ระหว่างเสรีภาพที่สุดขั้วสองข้าง “ก่อนปี 1989 ถ้าคุณไม่สนใจการเมือง คุณจะอยู่ไม่ได้ แต่หลังจากรถถังเคลื่อนเข้าสู่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อปราบนักศึกษาที่มาประท้วง ความฝันแห่งเสรีภาพทางการเมืองก็ดับวูบไป ดังนั้น ผู้คนจึงหันไปหาเงินและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคล”
จางลงความเห็นว่า ชาวจีนทุกวันนี้ “จำกัดเสรีภาพในตัวเอง” เพื่อรักษาผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
การเมืองได้เดินเข้าสู่ชีวิตของจางเมื่อเขาอายุได้เพียง 7 ขวบ พ่อของเขา จางไน่ฉี ถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ฝ่ายขวา’ หรือฝ่ายต่อต้านประธานเหมาเจ๋อตง
“ครั้งหนึ่ง แม่ถูกบังคับให้พาผมไปเข้าร่วมประชุมที่เคร่งเครียด แม่สอนผมให้พูดอะไรบางอย่างต่อหน้าพวกเขาเหล่านั้น ผมพูดตามและได้รับเสียงปรบมือชื่นชมกึกก้อง”
จางถูกดึงเข้าสู่ความยุ่งยากในวัย 19 ปี เขาวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีน แล้วเพื่อนก็ไปแจ้งตำรวจ ทำให้เขาถูกจับ และใช้ชีวิตในคุกถึง 9 ปี
จางยังติดคุกอยู่เมื่อตอนที่เหมาถึงแก่อสัญกรรม เขาจำได้ว่าทุกคนถูกเรียกให้ไปรวมกันเพื่อฟังแถลงการณ์ผ่านทางวิทยุ “เสียงร้องไห้ระงมบนความสับสน บางคนร้องไห้เพราะคิดว่าจุดสิ้นสุดของชีวิตในคุกใกล้เข้ามาแล้ว ขณะที่บางคนร้องไห้กับอนาคตที่ยังไม่รู้ ส่วนบางคนร้องตามคนอื่น แต่ผมไม่ได้ร้องไห้เลย”
หลังจากนั้น จางมีชีวิตภายใต้การควบคุมมาโดยตลอด และต้องระแวงต่อการถูกดักฟังทางโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ “ไม่ว่าคุณจะสอดแนมชีวิตผมอย่างไร ผมก็ไม่มีอะไรที่ต้องปกปิด ผมอยู่ด้วยความโปร่งใส ฉะนั้น ผมยังคงเป็นอิสระ”
หวังเหอเหยียน : 40 ปี : สื่อมวลชน
หวังสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มณฑลกันซู่ในปี 1989 เมื่อนักศึกษาในปักกิ่งรวมตัวกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลและเรียกร้องประชาธิปไตย “ฉันค่อนข้างตื่นเต้น ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าเลือดในกายร้อนรุ่มขึ้นมา”
เธอไม่เห็นความรุนแรงใดๆ ในกันซู่ กระทั่งกลุ่มผู้ประท้วงได้ยุติการเคลื่อนไหวหลังรัฐบาลเคลื่อนกำลังเข้ายึดเทียนอันเหมิน “เมื่อฉันย้อนกลับไปมองเหตุการณ์นั้นในตอนนี้ ฉันยังไม่ค่อยชัดเจนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ฉันได้ยินเพียงสโลแกนบางอย่างเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การชุมนุมในครั้งนั้นก็เปลี่ยนวิถีชีวิตของฉัน ฉันไม่เชื่อสิ่งที่ได้อ่านจากตำราอีกต่อไป และกลายเป็นคนที่ตั้งคำถามกับหลายๆสิ่งในปัจจุบัน” หวังได้รับการบรรจุเข้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหลังเรียนจบ แต่ไม่นานก็ถูกให้ออก ปัจจุบันเธอเป็นผู้สื่อข่าวสายกฎหมาย
“ฉันเชื่อว่าเสรีภาพที่ปราศจากประชาธิปไตยเป็นเสรีภาพจอมปลอม เราควรมีอิสระในการพูดและการเผยแพร่ผ่านสื่อ มีสิทธิเดินขบวนชุมนุม และจัดตั้งองค์กร แม้ว่าเสรีภาพเหล่านี้ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติจริงมันอาจไม่เป็นไปตามนั้น”
จงไห่เจียง : 35 ปี : แรงงานอพยพ
เขาอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ที่เรียงรายข้างกำแพงสีขาวบนพื้นคอนกรีต ห้องกว้างพอสำหรับเตียง 2 หลังเท่านั้น มีโต๊ะทำงานเล็กๆ และกองไม้กระดานสำหรับงานอุตสาหกรรม ซึ่งตัดจากตอไม้ แต่ละแผ่นหนา 4 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ฟุต ทุกๆ เช้าจงไห่เจียงขนไม้ 7 แผ่นบรรทุกบนจักรยาน แล้วปั่นไปยังใจกลางกรุงปักกิ่ง เพื่อมองหาร้านอาหารหรือภัตตาคารที่ต้องการสินค้าของเขา
“นโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันค่อนข้างมีเมตตา” เขาเล่าโดยวัดจากเสรีภาพที่สามารถละทิ้งบ้านเกิดในชนบท ซึ่งมีอัตราความจนล้ำหน้าความร่ำรวยในเมือง แม้ทุกวันนี้ทางการจีนจัดสรรงบประมาณอุดหนุนภาคเกษตรก็ตาม
ครั้งแรกที่จงมาปักกิ่ง เขาถูกตำรวจไล่จับข้อหาเป็นแรงงานอพยพ แล้วถูกยัดใส่ห้องขังที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมนับร้อยอยู่หลายวัน ก่อนถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดในชนบท แต่ตอนนี้เขาสามารถทำงานได้อย่างเปิดเผย โดยไร้ข้อจำกัดใดๆ “ตอนนี้ฉันรู้สึกเป็นอิสระมาก” เขาเปรียบเทียบอิสระทางกายภาพกับสุภาษิตจีนที่ว่า “ท้องทะเลกว้างพอให้ปลาแหวกว่าย และท้องฟ้ากว้างใหญ่พอให้นกบิน”
“เสรีภาพ คืออิสระทางกาย ถ้าคุณไม่เคยมีประสบการณ์เหมือนผม คุณก็ไม่มีวันรู้ว่าเสรีภาพคืออะไร” จงไห่เจียงพูดพร้อมชี้นิ้วไปยังที่พักชั่วคราวที่เขาได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในปักกิ่ง
หาวหยุน : 29 ปี : เซลล์แมนอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ครอบครัวของหาวหยุนไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ กระทั่งเขาเรียนชั้น ป.6 เมื่อพ่อของเขามีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและโทรทัศน์ “ผมรู้จักโลกกว้างนับแต่นั้น” หาวย้อนความหลัง
หลังจากที่รัฐบาลจีนเลิกจำกัดพื้นที่ศึกษาของเด็กๆ ม.ปลาย และอนุญาตให้นักเรียนคะแนนดีเด่นไปศึกษาต่อยังโรงเรียนต่างถิ่นได้ หาวก็ได้ออกจากชีวิตที่ยากเข็ญของชาวไร่บนไหล่เขา
เสรีภาพทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญสำหรับหาว “เสรีภาพหมายถึงผู้คนสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ ขอเพียงไม่ขัดกับหลักกฎหมาย อย่างเช่นตัวผมดั้นด้นจากหมู่บ้านเล็กๆทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนมายังปักกิ่ง ตอนนี้ผมซื้ออพาร์ทเมนท์ มีครอบครัว ซึ่งทั้งหมดนี้ผมไม่รู้สึกว่าถูกควบคุมเลย”
หวังอี้หัน : 22 ปี : นักศึกษาสาขาภาษาฝรั่งเศส
“ฉันไม่ค่อยสนใจประชาธิปไตยหรือเรื่องทำนองนี้มากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตยนะ มันมีข้อดีของมัน แต่ฉันคิดว่ามันไม่เป็นจริงหรอกสำหรับประเทศจีน” หวังอี้หัน ซึ่งเพิ่งจบปริญญาตรีกล่าว
ภายใต้หลักการคอมมิวนิสต์ จีน “พัฒนาไปมาก” ซึ่งหวังมองว่าครอบคลุมไปถึงเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลด้วย “10 กว่าปีก่อน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฉันจะมานั่งตรงนี้ และแลกเปลี่ยนความเห็นกับคุณในประเด็นนี้”
ลูกสาวเพียงคนเดียวจากมณฑลอันฮุยอย่างหวัง มีโอกาสเรียนทั้งการเขียน-วาดภาพพู่กันจีน อิเล็คโทน และเปียโน “พ่อแม่ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดที่สามารถให้แก่ลูกหลายคนได้ มาที่ฉันเพียงคนเดียว” แม่ยังโทรหาเธอทุกวัน และบางครั้งหวังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันจากความคาดหวังของพ่อแม่
อย่างไรก็ตาม หวังก็รู้สึกเป็นอิสระพอที่จะปฏิเสธพ่อแม่ของเธอที่ต้องการให้เข้าวิทยาลัยใกล้บ้านและเรียนสาขาการเงิน เธอรู้สึกว่านั่นเป็นทัศนะที่คับแคบเกินไป และความรักในวรรณกรรมฝรั่งเศสนำเธอไปสู่การเรียนภาษานี้แทน เธอวางแผนว่า สักวันหนึ่งจะไปเที่ยวฝรั่งเศส บางทีอาจจะได้ไปสอนภาษาจีนที่นั่นด้วย เธอยังหวังมีงานทำและมีชีวิตที่มั่งคง
“เสรีภาพทางจิตวิญญาณคือการแสวงหาความสมดุลระหว่างสิ่งที่คุณมีกับสิ่งที่คุณต้องการ คุณควรพยายามเต็มที่เพื่อไล่ตามสิ่งที่คุณต้องการ แต่คุณไม่ควรตั้งเป้าหมายเกินจริงหรือสูงเกินไป”