เอเจนซี – สำนักข่าวซินหัวรายงาน ยืนยันแผนผนึกกำลังระหว่างสองสายการบินจีน “อีสเทิร์น แอร์ไลน์” และ “เซี่ยงไฮ้ แอร์ไลน์” หวังสร้างบริษัทการบินที่ครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่สุดในเซี่ยงไฮ้ ฮับการบินอันดับ 2 ของจีน หลังจากปีที่แล้วขาดทุนรวมกันถึง 16,500 ล้านหยวน (2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ)
หลิว เจียงป๋อ โฆษกสายการบินไชน่า อีสเทิร์นเพียงให้สัมภาษณ์ว่า “ไชน่า อีสเทิร์น และเซี่ยงไฮ้ แอร์ไลน์ เข้าสู่กระบวนการการปรับโครงสร้างของบริษัทอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน”
ภายหลังจากการควบรวมแล้ว กลุ่มบริษัทใหม่จะมีเครื่องบินในสังกัด 306 ลำ เส้นทางบินมากกว่า 600 เส้นทาง ทำให้บริษัทครองส่วนแบ่งในตลาดเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของทั้งสองบริษัทถึง 50% ซึ่งนี่จะช่วยให้บริษัทมีแรงแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่อย่างไชน่า เซาเทิร์น แอร์ไลน์ และแอร์ ไชน่ามากขึ้น
โดยที่ผ่านมา แอร์ ไชน่า ซึ่งมีฐานอยู่ในปักกิ่ง ก็พยายามหาช่องทางผนึกกำลังกับสายการบินเซี่ยงไฮ้ทั้งสอง เนื่องจากมีแรงคาดการณ์ว่า เซี่ยงไฮ้จะแซงหน้าปักกิ่งกลายเป็นตลาดการบินทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดของจีนภายในปี พ.ศ. 2558
แต่หลังจากไชน่า อีสเทิร์นและเซี่ยงไฮ้ แอร์ไลน์ควบรวมกิจการกัน หลี่ เหลย นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ไชน่า ซีเคียวริตี้ส์มองว่า “แอร์ไชน่า จะไม่สามารถเติบโตในเซี่ยงไฮ้ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว สายการบินอาจหันไปสยายปีกธุรกิจในตลาดอื่นแทน เช่น ตลาดแทบตอนกลางของประเทศจีน”
ส่วนปฏิกิริยาของตลาดหลักทรัพย์ ต่อข่าวที่รัฐบาลออกใบสั่งให้สายการบินทั้งสองควบรวมกันนั้น ปรากฏว่าในวันจันทร์และอังคาร (8-9 มิ.ย.) ไชน่า อีสเทิร์นและเซี่ยงไฮ้ แอร์ไลน์ได้ระงับการเทรดหุ้นทั้งในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และฮ่องกง
โดยไชน่า อีสเทิร์น ระบุในแถลงการณ์ต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงว่า บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างสำคัญ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ด้าน เคลวิน เลา นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยไต้หวา ในฮ่องกงแสดงทัศนะว่า “การควบรวมกิจการของสองสายการบินจีนในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลต้องการยกระดับผลการดำเนินงานของบริษัทวิสาหกิจรัฐผ่านการผนึกกำลัง” และนับตั้งแต่ที่พวกเขารับเงินจากรัฐบาล พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเดินตามแผนของรัฐบาล
“ที่ไชน่า อีสเทิร์นถูกเลือกก็เพราะมีสถานะทางการเงินอ่อนแอที่สุด สำหรับแอร์ไชน่า และไชน่า เซาเธิร์นนั้น ยังไม่จำเป็นต้องรีบผลักดันให้ดำเนินการควบรวมกิจการ” เลากล่าว
สามปีที่ผ่านมา ไชน่า อีสเทิร์นรายงานผลประกอบการขาดทุนมาตลอด และคาดว่าปีนี้ก็จะขาดทุนด้วยเช่นกัน เนื่องจากปัญหาหนี้สินและเศรษฐกิจจีนที่ลดความแรงลงส่งผลกระทบต่อความต้องการท่องเที่ยว
ทางด้านสมาคมการคมนาคมทางอากาศนานาชาติคาดการณ์ว่า ในปีนี้สายการบินทั่วโลกอาจขาดทุนถึง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกถดถอยและการระบาดของเชื้อไวรัส H1N1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่งผลให้ความต้องการท่องเที่ยวลดลง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามผลักดันให้มีการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อยกระดับแรงแข่งขัน ดังเช่นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตเหล็กก็ถูกกระตุ้นให้รวมกิจการกันเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ