เอเจนซี – การก่อสร้างโรงผลิตไฟฟ้าถ่านหินจำนวนมาก ทำให้ปริมาณการใช้ถ่านหินในจีนมีมากกว่าการใช้ใน 3 ประเทศรวมกัน นั่นคือ สหรัฐฯ อียู และญี่ปุ่น และจีนได้กลายมาเป็นชาติที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด จนทำให้ทั่วโลกผวาว่าอาจส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน แต่ในระยะ 2 ปีมานี้ จีนได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นผู้นำในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขณะที่ชาวสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันว่าควรจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดที่ก่อให้เกิดมลพิษเพียงเล็กน้อยหรือยัง แต่รัฐบาลจีนได้อนุมัติการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดในระบบผลิตไฟฟ้า ที่เรียกว่า ultra-supercritical ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยใช้หม้อกำเนิดไฟฟ้าแรงดันสูงไปแล้ว แถมยังจ่ายเงินค่าอุปกรณ์ต่างๆ ไปแล้วด้วย และเตรียมจะมาติดตั้งในโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เมืองเทียนจินในเร็ววันนี้
“การดำเนินงานของรัฐบาลจีน มีความรวดเร็วและจริงจังมากกว่าทุกประเทศ ที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การก่อสร้างโรงไฟฟ้า” นั่นคือความเห็นของ นายฮาล ฮาวีย์ ประธานกลุ่ม ClimateWorks ในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนด้านการเงินแก่โครงการต่างๆ ที่ทำงานด้านการควบคุมภาวะโลกร้อน
พร้อมกันนี้ ทางการจีนยังได้เรียกร้องให้บริษัทด้านพลังงานปลดระวางโรงไฟฟ้าแบบเก่า และหันมาสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนายเฉา เผยซี ประธานกลุ่มบริษัทหัวเหนิง ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในจีน และยังเป็นบริษัทที่ถือหุ้นรายใหญ่ในโรงไฟฟ้าที่เมืองเทียนจิน กล่าวว่า บริษัทของเขาจะสร้างโรงไฟฟ้าแบบพลังงานสะอาด แม้จะมีต้นทุนสูงกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าแบบเก่าก็ตาม
แต่กระนั้นก็ตาม อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศของประเทศจีนยังมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นอีก เนื่องเพราะในบรรดาโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่ในประเทศทั้งหมด มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการปล่อยก๊าซและกำจัดสารซัลเฟอร์ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝนกรด
หรือแม้แต่โรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นใหม่ ก็มีเพียง 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ติดตั้งเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าแบบใหม่ ที่ใช้ถ่านหินเพื่อการเผาผลาญในปริมาณน้อย ทำให้ในการผลิตไฟฟ้าแต่ละยูนิตมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง
ผู้เชี่ยวชาญระบุถึงประสิทธิภาพโรงผลิตไฟฟ้าของจีนในปัจจุบันนี้ว่าสามารถแปลงพลังงานจากถ่านหินให้เป็นไฟฟ้าได้ 27 ถึง 36 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่โรงผลิตไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถแปลงพลังงานถ่านหินให้เป็นไฟฟ้าได้ถึง 44 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าถ่านหินในสหรัฐฯ มีสูงกว่าค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าถ่านหินในจีน เนื่องเพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจีนได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินด้อยประสิทธิภาพขึ้นจำนวนมาก แต่รัฐบาลจีนกำลังเร่งปิดโรงไฟฟ้าเหล่านั้นและหันมาสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงทดแทน
การปรับตัวของจีนดังกล่าวได้เริ่มส่งผลต่อสภาวะอากาศโลก โดยรายงานประจำปีฉบับล่าสุดขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ (International Energy Agency) ที่ออกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ได้ปรับลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีนที่มีผลต่อภาวะโลกร้อน เหลือ 3 เปอร์เซ็นต์ จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 3.2 เปอร์เซ็นต์
แต่อย่างไรก็ดี ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของจีนนั้น 80 เปอร์เซ็นต์ยังคงต้องพึ่งพิงถ่านหิน ซึ่งจะทำให้จีนยังคงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง แม้ได้พยายามใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อลดมลพิษจากโรงไฟฟ้าก็ตาม
นอกจากนี้ จีนยังพยายามที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน ด้วยการหันมาผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลมให้มากขึ้น คาดว่าในปีนี้จีนจะกลายเป็นชาติที่นำเข้าอุปกรณ์ติดตั้งพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะเดียวกันจีนก็สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นชาติที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากที่สุดในโลกด้วย
แต่กระนั้น พลังงานถ่านหินก็ยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดและจีนก็มีการใช้มากที่สุด โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีพลังงานถ่านหินสำรองมากเป็นอันดับที่สามของโลก รองจากสหรัฐฯ และรัสเซีย