เอเชี่ยนวอลสตรีทเจอร์นัล - ความขัดแย้งเรื่องของเล่น ยาง และแร่เหล็ก กำลังสุมความตึงเครียดระหว่างจีนและอินเดียให้โหมหนักขึ้น ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามรุกเจาะตลาดของฝ่ายตรงข้าม ลดผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ในขณะที่ผู้ส่งออกจีนต้องการอาศัยอินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเติบโต ช่วยชดเชยความต้องการที่ชะลอตัวจากสหรัฐฯ แต่อินเดียกลับกล่าวหาว่า บริษัทจีนเข้ามาบุกตลาดในประเทศด้วยสินค้าที่จีนไม่สามารถไปจำหน่ายที่อื่นได้ พร้อมทั้งยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลกเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดจากจีน ข้อพิพาททางการค้ากำลังทดสอบความพยายามในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่เหมือนหอกข้างแคร่กันมานาน
ด้าน Gopal K.Pillai รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อินเดียให้สัมภาษณ์ว่า “เรามักจะพูดว่าโลกใหญ่พอสำหรับอินเดียและจีน แต่เรามีปัญหากับสินค้าส่งออกจีนที่มีปริมาณสูงขึ้นอย่างมาก จนทำร้ายอุตสาหกรรมของเรา”
ความขัดแย้งเบื้องต้นสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันกันระหว่างสองยักษ์เอเชียท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากข้อมูลของ Pranab K.Bardhan นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนและอินเดียเผยว่า อินเดียลังเลที่จะเปิดอุตสาหกรรมภายในประเทศมากกว่าจีน โดยปัจจุบันอุตสาหกรรมของแดนภารตะนั้นยังมีแรงแข่งขันจากต่างชาติไม่มากนัก “อินเดียเป็นประเทศที่มีความเป็นโลกาภิวัตน์น้อยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก”
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เกราะป้องกันของอินเดียจากเศรษฐกิจโลกได้ช่วยทำให้ประเทศปลอดภัยจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อินเดียส่งออกสินค้าลดลงจากปีก่อน 16% แต่อย่างไรก็ตามยอดขายต่างประเทศมีสัดส่วนเพียงแค่ 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เท่านั้น ตรงข้ามกับการส่งออกของประเทศจีน ซึ่งมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของจีดีพี และยังลดลงอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากการส่งออกของจีนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ร่วงลงมา 26% จากปีก่อน ด้าน IMF ทำนายเศรษฐกิจจีนปีนี้จะชะลอตัวอยู่ที่ 6.7% ลดลงจาก 9.0% เมื่อปีที่แล้ว
เนื่องจากการส่งออกของจีนชะลอตัว โรงงานผลิตสินค้ามากมายปิดตัวลง ดังนั้นรัฐบาลปักกิ่งพยายามต่อสู้ต่อสัญญาณลัทธิกีดกันการค้าของต่างชาติภายใต้ความกดดัน โดยเวิน ฟู่เต๋อ จากสถาบันเอเชียใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเสฉวนเผย แม้ว่าปริมาณความต้องการสินค้าในอินเดียจะไม่ได้สูงมากขนาดสหรัฐฯ แต่กำแพงการค้าของอินเดียก็ทำให้จีนรู้สึกกังวล
“ความขัดแย้งทางการค้าส่วนใหญ่เกิดจากอินเดียกระทำต่อจีนอย่างไร้เหตุผล” เวินกล่าว
ขณะเดียวกันทางอินเดียเองก็ตอบโต้ว่า ขณะที่จีนเจรจาเรื่องการเปิดเสรีการค้า แต่สิ่งที่จีนกระทำกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง โดยพิลไล รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อินเดียกล่าวหา รัฐบาลปักกิ่งอุดหนุนผู้ส่งออก ขัดขวางการนำเข้าสินค้าเกษตรของอินเดีย และสนับสนุนบริษัทจีนให้เข้ามาตีอุตสาหกรรมที่อ่อนแอของอินเดียด้วย
โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ของรัฐบาลจีนผลิตสินค้าล้นทะลักเข้ามายังตลาดอินเดีย และขายในราคาถูก ขณะเดยวกันก็สกัดสินค้าส่งออกเกษตรของอินเดีย ซึ่งพิลไลระบุว่า ยาเพนนิซิลินราคาถูกจากจีนได้ทำลายผู้ผลิตในอินเดียช่วงทศวรรษที่ 90
“ปัญหาคือว่าจีนไม่ใช่ประเทศเศรษฐกิจระบบตลาด” พิลไลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักวิชาการบางกลุ่มที่มองเห็นศักยภาพของจีนและอินเดียในการเอาชนะความขัดแย้ง โดยการร่วมกันทำธุรกิจมากขึ้น ตามที่ศาสตราจารย์ Anil Gupta จากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์กล่าวว่า จีนสามารถช่วยเหลืออินเดียในการก่อสร้างถนน สะพาน และสนามบิน โดยจีนจะนำเทคโนโลยีในการก่อสร้าง และผู้เชี่ยวชาญให้แก่อินเดีย ขณะที่อินเดียก็รับผิดชอบเรื่องเงินลงทุน
ในขณะที่ผู้ส่งออกจีนต้องการอาศัยอินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเติบโต ช่วยชดเชยความต้องการที่ชะลอตัวจากสหรัฐฯ แต่อินเดียกลับกล่าวหาว่า บริษัทจีนเข้ามาบุกตลาดในประเทศด้วยสินค้าที่จีนไม่สามารถไปจำหน่ายที่อื่นได้ พร้อมทั้งยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลกเพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดจากจีน ข้อพิพาททางการค้ากำลังทดสอบความพยายามในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่เหมือนหอกข้างแคร่กันมานาน
ด้าน Gopal K.Pillai รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อินเดียให้สัมภาษณ์ว่า “เรามักจะพูดว่าโลกใหญ่พอสำหรับอินเดียและจีน แต่เรามีปัญหากับสินค้าส่งออกจีนที่มีปริมาณสูงขึ้นอย่างมาก จนทำร้ายอุตสาหกรรมของเรา”
ความขัดแย้งเบื้องต้นสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันกันระหว่างสองยักษ์เอเชียท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากข้อมูลของ Pranab K.Bardhan นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนและอินเดียเผยว่า อินเดียลังเลที่จะเปิดอุตสาหกรรมภายในประเทศมากกว่าจีน โดยปัจจุบันอุตสาหกรรมของแดนภารตะนั้นยังมีแรงแข่งขันจากต่างชาติไม่มากนัก “อินเดียเป็นประเทศที่มีความเป็นโลกาภิวัตน์น้อยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก”
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เกราะป้องกันของอินเดียจากเศรษฐกิจโลกได้ช่วยทำให้ประเทศปลอดภัยจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อินเดียส่งออกสินค้าลดลงจากปีก่อน 16% แต่อย่างไรก็ตามยอดขายต่างประเทศมีสัดส่วนเพียงแค่ 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เท่านั้น ตรงข้ามกับการส่งออกของประเทศจีน ซึ่งมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของจีดีพี และยังลดลงอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จากการส่งออกของจีนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ร่วงลงมา 26% จากปีก่อน ด้าน IMF ทำนายเศรษฐกิจจีนปีนี้จะชะลอตัวอยู่ที่ 6.7% ลดลงจาก 9.0% เมื่อปีที่แล้ว
เนื่องจากการส่งออกของจีนชะลอตัว โรงงานผลิตสินค้ามากมายปิดตัวลง ดังนั้นรัฐบาลปักกิ่งพยายามต่อสู้ต่อสัญญาณลัทธิกีดกันการค้าของต่างชาติภายใต้ความกดดัน โดยเวิน ฟู่เต๋อ จากสถาบันเอเชียใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเสฉวนเผย แม้ว่าปริมาณความต้องการสินค้าในอินเดียจะไม่ได้สูงมากขนาดสหรัฐฯ แต่กำแพงการค้าของอินเดียก็ทำให้จีนรู้สึกกังวล
“ความขัดแย้งทางการค้าส่วนใหญ่เกิดจากอินเดียกระทำต่อจีนอย่างไร้เหตุผล” เวินกล่าว
ขณะเดียวกันทางอินเดียเองก็ตอบโต้ว่า ขณะที่จีนเจรจาเรื่องการเปิดเสรีการค้า แต่สิ่งที่จีนกระทำกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง โดยพิลไล รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อินเดียกล่าวหา รัฐบาลปักกิ่งอุดหนุนผู้ส่งออก ขัดขวางการนำเข้าสินค้าเกษตรของอินเดีย และสนับสนุนบริษัทจีนให้เข้ามาตีอุตสาหกรรมที่อ่อนแอของอินเดียด้วย
โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ของรัฐบาลจีนผลิตสินค้าล้นทะลักเข้ามายังตลาดอินเดีย และขายในราคาถูก ขณะเดยวกันก็สกัดสินค้าส่งออกเกษตรของอินเดีย ซึ่งพิลไลระบุว่า ยาเพนนิซิลินราคาถูกจากจีนได้ทำลายผู้ผลิตในอินเดียช่วงทศวรรษที่ 90
“ปัญหาคือว่าจีนไม่ใช่ประเทศเศรษฐกิจระบบตลาด” พิลไลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักวิชาการบางกลุ่มที่มองเห็นศักยภาพของจีนและอินเดียในการเอาชนะความขัดแย้ง โดยการร่วมกันทำธุรกิจมากขึ้น ตามที่ศาสตราจารย์ Anil Gupta จากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์กล่าวว่า จีนสามารถช่วยเหลืออินเดียในการก่อสร้างถนน สะพาน และสนามบิน โดยจีนจะนำเทคโนโลยีในการก่อสร้าง และผู้เชี่ยวชาญให้แก่อินเดีย ขณะที่อินเดียก็รับผิดชอบเรื่องเงินลงทุน