เอเอฟพี – นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าให้สัมภาษณ์ลงหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ฉบับวันจันทร์ (2 ก.พ.) ระบุ รัฐบาลจีนวางแผนอัดฉีดเงิน 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นธนาคารรายสำคัญของรัฐที่อ่อนแอที่สุด จากเดิมเคยประกาศงบไว้ที่ 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระยะยาวในการปรับโครงสร้างธนาคารก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นตามธนาคารรัฐหลายอื่นๆ ที่ตบเท้าเข้าตลาดไปก่อนหน้านี้แล้ว
“ในจำนวนธนาคารระดับประเทศ 5 ราย ธนาคารเพื่อการเกษตรแห่งประเทศจีนเป็นธนาคารสุดท้ายที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการปฏิรูป...เราตัดสินใจปรับจำนวนเงินอัดฉีดเป็น 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ” เวินกล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังทางด้านการเงินของภาคชนบทซึ่งมีขนาดใหญ่ของจีนเปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่า “ในด้านเทคนิก ธนาคารมีความพร้อมที่จะทำไอพีโอ (กระจายหุ้นสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552”
ด้านผู้สังเกตุการณ์กล่าวว่า การอัดฉีดเงินนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะในช่วงที่จีนเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกรุมเร้า
“หากธนาคารต้องการบรรลุการปฏิรูปและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ท่ามกลางวิกฤตการเงิน ธนาคารจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมากขึ้น” สือ เจี้ยนซวิน ศาสตราจารย์ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยถงจี้ของเซี่ยงไฮ้ระบุ
ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารเพื่อการเกษตรกำลังอยู่ในกระบวนการปฏิรูป ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และฮ่องกง นอกจากนี้ธนาคารยังเปิดรับนักลงทุนเชิงยุทธศาสตร์จากต่างชาติให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งการที่จีนประกาศอัดฉีดงบเพิ่มนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของปักกิ่ง ที่หวั่นเกรงว่านักลงทุนต่างชาติจะไม่มั่นใจในเสถียรภาพของธนาคาร และแห่ขายหุ้นอย่างกรณีของธนาคารโรยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ของอังกฤษ ที่เปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า ธนาคารได้ขายหุ้นที่ถือในแบงก์ ออฟ ไชน่าจำนวน 1,600 ล้านปอนด์ (2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ)
โดยสือเชื่อว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพานักลงทุนเชิงยุทธศาสตร์จากต่างประเทศ เพราะประชาชนจะกลายเป็นนักลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่แท้จริง
อนึ่ง เมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารเพื่อการเกษตรได้รายงานกำไรสุทธิของปี 2551 ว่า เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 19.1% คิดเป็นมูลค่า 51,100 ล้านหยวน (7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ) ธนาคารระบุว่า กำไรของธนาคาร “เพิ่มขึ้นอย่างมาก” โดยหลังจากปรับโครงสร้างธนาคารเบื้องต้น ก็ส่งผลให้เงินฝากใหม่เมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 15% เป็น 807,800 ล้านหยวน
โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระยะยาวในการปรับโครงสร้างธนาคารก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นตามธนาคารรัฐหลายอื่นๆ ที่ตบเท้าเข้าตลาดไปก่อนหน้านี้แล้ว
“ในจำนวนธนาคารระดับประเทศ 5 ราย ธนาคารเพื่อการเกษตรแห่งประเทศจีนเป็นธนาคารสุดท้ายที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการปฏิรูป...เราตัดสินใจปรับจำนวนเงินอัดฉีดเป็น 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ” เวินกล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังทางด้านการเงินของภาคชนบทซึ่งมีขนาดใหญ่ของจีนเปิดเผยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่า “ในด้านเทคนิก ธนาคารมีความพร้อมที่จะทำไอพีโอ (กระจายหุ้นสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552”
ด้านผู้สังเกตุการณ์กล่าวว่า การอัดฉีดเงินนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะในช่วงที่จีนเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกรุมเร้า
“หากธนาคารต้องการบรรลุการปฏิรูปและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ท่ามกลางวิกฤตการเงิน ธนาคารจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมากขึ้น” สือ เจี้ยนซวิน ศาสตราจารย์ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยถงจี้ของเซี่ยงไฮ้ระบุ
ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารเพื่อการเกษตรกำลังอยู่ในกระบวนการปฏิรูป ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และฮ่องกง นอกจากนี้ธนาคารยังเปิดรับนักลงทุนเชิงยุทธศาสตร์จากต่างชาติให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งการที่จีนประกาศอัดฉีดงบเพิ่มนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของปักกิ่ง ที่หวั่นเกรงว่านักลงทุนต่างชาติจะไม่มั่นใจในเสถียรภาพของธนาคาร และแห่ขายหุ้นอย่างกรณีของธนาคารโรยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ของอังกฤษ ที่เปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า ธนาคารได้ขายหุ้นที่ถือในแบงก์ ออฟ ไชน่าจำนวน 1,600 ล้านปอนด์ (2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ)
โดยสือเชื่อว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพานักลงทุนเชิงยุทธศาสตร์จากต่างประเทศ เพราะประชาชนจะกลายเป็นนักลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่แท้จริง
อนึ่ง เมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารเพื่อการเกษตรได้รายงานกำไรสุทธิของปี 2551 ว่า เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 19.1% คิดเป็นมูลค่า 51,100 ล้านหยวน (7,500 ล้านเหรียญสหรัฐ) ธนาคารระบุว่า กำไรของธนาคาร “เพิ่มขึ้นอย่างมาก” โดยหลังจากปรับโครงสร้างธนาคารเบื้องต้น ก็ส่งผลให้เงินฝากใหม่เมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 15% เป็น 807,800 ล้านหยวน