เอเอฟพี - นักเศรษฐศาสตร์คาด เศรษฐกิจจีนปี 2008 ร่วงแรงสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จีดีพี ไตรมาสสุดท้ายเหลือแค่ 5 - 6.5% พร้อมประเมินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลายไม่ส่งผลเต็มที่กระทั่งถึงไตรมาส 2 และ3 ของปีหน้า ส่งผลให้จีนต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างที่สุด
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนได้ประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ในเดือนพฤศจิกายนออกมา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวต่างสะท้อนให้เห็นว่าจีน ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอันหนักหน่วงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ตัวเลขการส่งออกร่วงแรงที่สุดในรอบกว่า 7 ปี ตกลง 2.2% หลังจากเดือนตุลาคม ยังขยายตัว 19.2% อัตราเงินเฟ้อตกเหลือ 2.4% ต่ำสุดในรอบ 22 เดือน ทำให้ทางการให้มาเป็นกังวลว่าจะเกิดเงินฝืดแทน
ขณะที่ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวต่ำสุดในรอบ 10 ปี ลดลงเหลือ 5.4% จากที่เคยทำสถิติขยายตัวสูงสุดถึง 17.8% ในเดือนมีนาคมของปีนี้ และล่าสุดในวันอังคาร (16 ธ.ค.) ได้มีการประกาศตัวเลขการลงทุนสินทรัพย์ถาวรในเขตเมืองช่วง 11 เดือนแรกของปี ปรากฏว่าขยายตัว 26.8% ลดลงร้อยละ 0.4 จาก 10 เดือนแรก
เถา ตง นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิสในฮ่องกงกล่าวว่า “เราค่อนข้างมองเศรษฐกิจในเชิงลบ” โดยเขาคาดการณ์ว่าสามเดือนสุดท้ายของปีนี้จีดีพีจะอยู่ที่ 6-6.5% ซึ่งเขากล่าวว่า นับตั้งแต่ประเทศจีนเริ่มรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจประจำไตรมาสในปี 1995 เป็นต้นมา เศรษฐกิจจีนก็ไม่เคยต่ำขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนก็ยังไม่ต่ำกว่า 7.6%
ซิง จื้อเฉียง นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล คอร์ปอเรชั่นในปักกิ่ง กล่าวเช่นกันว่า ไตรมาสสุดท้ายของปี 2008 นั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนน่าจะเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่มีบันทึกมา และสถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อไปอีก โดยคาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จีดีพีจีนน่าจะอยู่ที่ 5-5.5%
แม้ว่าปักกิ่งพยายามผุดมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ และบรรเทาผลกระทบจากตลาดส่งออกที่กำลังย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งนับตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา ซึ่งยังผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปีลดลงจาก 7.47% มาเป็น 5.58% ทั้งยังประกาศแพคเกจกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยงบประมาณสูงถึง 586,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯเมื่อเดือนที่แล้ว และความพยายามล่าสุดโดยรัฐบาลประกาศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะปรับเพิ่มปริมาณเงินในระบบอีก 17% ในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม บรรดานักเศรษฐศาสตร์มองว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่ามาตรการที่จีนใช้จะส่งผลได้จริง เนื่องจากโครงการที่ทุ่มงบประมาณใหม่นั้นเป็นโครงการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่
ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ก็มีแรงคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนจะลงมือฉีดยาแรงเพิ่ม โดยเมื่อวันอังคาร (16 ธ.ค.) โจว เสี่ยวชวน ผู้ว่าการแบงก์ชาติจีนก็แย้มว่า มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกเร็วๆ นี้ โดยชี้ว่าอาจเป็นปลายเดือนธันวาคม หรือต้นปีหน้า
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนอาจปรับลดอัตราภาษี เพิ่มสินเชื่อให้แก่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม รวมไปถึงการให้เงินอุดหนุนครอบครัวรายได้ต่ำด้วย ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจของประเทศตอบรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันดีมากน้อยเพียงไร
แต่อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่า เศรษฐกิจจีนซึ่งขยายตัวด้วยตัวเลข 2 หลักในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะยังคงฟื้นตัวได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ โดยหวง อี้ผิง นักเศรษฐศาสตร์จากซิตี้ กรุ๊ปของฮ่องกง คาดว่าในปี 2009 จีนจะขยายตัว 8.2% และเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะเป็นปัจจัยผลักดันสำคัญ