xs
xsm
sm
md
lg

ผู้นำมังกรเยือนละตินอเมริกา ประสบผลสำเร็จฉลุย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หู จิ่นเทาประธานาธิบดีจีนร่วมถ่ายภาพกับนาจิบ ตุน ราซัคนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและมิเชล บาเชอเลทประธานาธิบดีชิลิ ในโอกาสที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก ที่ลิมา เมืองหลวงของเปรู เมื่อวันอาทิตย์ (23 พ.ย.) - เอเอฟพี
เอเอฟพี – ผู้นำจีนเสร็จสิ้นการเยือนชาติแถบละตินอเมริกา พร้อมข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีหนึ่งฉบับ นับเป็นการเยือนที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง โดยฝากรอยเท้า ที่กดลึกลงบนภูมิภาค ซึ่งมองกันมาช้านานแล้วว่า เป็นเหมือนสนามหลังบ้านของสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ซึ่งกลับจากการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก ที่เปรู เมื่อวันอาทิตย์ (23 พ.ย.) ได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ เมื่อเขาแวะเยือนคอสต้าริก้า, คิวบา และเปรู

ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนของเฮอร์ริเทจ ฟาวน์เดชั่น (Heritage Foundation) ซึ่งเป็นสถาบันนักคิดหัวอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ระบุว่า แม้ความสัมพันธ์ด้านการค้า, วัฒนธรรม และการทหารระหว่างจีนกับชาติในภูมิภาคนี้ยังนับว่าน้อย เมื่อเทียบกับอิทธิพลของสหรัฐฯ แต่การเยือนของผู้นำแดนมังกรเที่ยวนี้ก็เป็นการตอกย้ำว่าความสัมพันธ์กำลังงอกงามอย่างรวดเร็ว กระทั่งผู้วางนโยบายของสหรัฐฯ จะต้องจับตามอง เนื่องภูมิภาคละตินอเมริกาเคยเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีหูเยือนคอสต้าริก้า เพื่อเริ่มการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ขณะที่ได้ประกาศบรรลุข้อตกลงแบบเดียวกันนี้กับเปรู นอกจากนั้น ยังได้ย้ำถึงมิตรภาพระหว่างจีนกับชาติพันธมิตรคิวบา ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกัน

“จีนเต็มใจทำงานร่วมกับชาติในแถบอเมริกาใต้และแคริบเบียน เพื่อผลประโยชน์อันเท่าเทียมร่วมกัน และการเป็นหุ้นส่วนอย่างครอบคลุม” ผู้นำจีนแถลงต่อรัฐสภาของเปรู

มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับชาติในภูมิภาคนี้โตประมาณ 10 เท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ขณะเดียวกับที่จีนขยายการแสวงหาวัตถุดิบแหล่งใหม่ ๆ ส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนของชาติละตินอเมริกาก็พุ่งขึ้นเช่นกัน

เมื่อไม่กี่ปีก่อน ประธานาธิบดีหูตั้งเป้าการค้ากับชาติละตินอเมริกาให้ได้ 100,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2553 ทว่ากลับสามารถทะลุเป้าหมายได้เมื่อปีที่แล้ว

พร้อม ๆ กับความสัมพันธ์ทางการค้า ขณะเดียวกันอิทธิพลทางการทูตของจีนก็ขยับขยายขึ้นไปด้วย

เมื่อปีที่แล้ว จีนโน้มน้าวให้คอสตาริก้าตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แข่งของจีน โดยจีนยินดีซื้อหนี้จำนวน 300 ล้านดอลลาร์ของรัฐบาลคอสตาริก้าเป็นการตอบแทน

นอกจากนั้น ยังได้เกิดเงื่อนไขอื่น ๆ บนเวทีโลก ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์กับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสนใจที่เบี่ยงเบนไปของสหรัฐฯ เนื่องจาก ต้องทำสงครามในหลายสมรภูมิ และความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในตะวันออกกลาง

ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลหัวเอียงซ้ายในประเทศละตินอเมริกา ซึ่งย่อมมีความเห็นใจจีนในแง่อุดมการณ์มากกว่าสหรัฐฯ ได้ผงาดขึ้นมามีอำนาจในโบลิเวีย, เอกวาดอร์ และนิคารากัว ขณะที่เวเนซูเอล่า มีผู้นำหัวสังคมนิยมอย่างประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐฯ มานาน

“ความสนใจของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคนี้ไม่เคยอ่อนลง ตอนนี้จึงเป็นเวลาเหมาะสม ที่จีนจะท้าทายอิทธิพลของสหรัฐฯ” แฟริด คาฮัตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทูตละตินอเมริกาของมหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งเปรูกล่าว

การดำเนินนโยบายเชิงรุกในการหว่านเสน่ห์ของจีนสัมฤทธิ์ผลมาแล้วในภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปแอฟริกา จีนเดินหน้าสานสัมพันธ์กับรัฐบาลหลายชาติ ซึ่งควบคุมแหล่งทรัพยากร ที่จีนปรารถนา ก่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาติตะวันตกว่า จีนมองข้ามปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และข้อบกพร่องอื่น ๆ ของรัฐบาลเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งยืนกรานว่ามิได้ต้องการทำลายสภาพภูมิศาสตร์การเมือง ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับประเทศศัตรูของสหรัฐฯ อย่างเวเนซูเอล่าและคิวบา ก็ทำให้หลายฝ่ายฉงน

“การแสดงตัวในฐานะรูปแบบการเมืองและเศรษฐกิจอีกทางเลือกหนึ่ง นอกเหนือจากสหรัฐฯ จีนกำลังบ่อนทำลายความพยายามของสหรัฐฯ ในการปฏิรูปการเมือง, การพัฒนาสิทธิมนุษยชนและการค้าเสรีในละตินอเมริกา” รายงานของศูนย์เพื่อนโยบายแห่งซีกโลก (Center for Hemispheric Policy) ของมหาวิทยาลัยไมอามี่ระบุ

นักวิเคราะห์ชี้ว่า จีนจะไม่มีวันมามีอิทธิพลแทนที่สหรัฐฯ ในภูมิภาคละตินอเมริกาได้ เนื่องจากอิทธิพลมหาศาลของสหรัฐฯ และการมีลักษณะทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนั้น จีนและชาติละตินอเมริกาก็ยังเป็นคู่แข่งทางการค้ากันในหลายพื้นที่

อย่างไรก็ตาม วันคืนแห่งการครอบงำของสหรัฐฯ ที่ไม่เคยถูกท้าทายอาจจบสิ้นลงแล้ว โดยเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว สหรัฐฯ จะสูญเสียอิทธิพลในระยะยาวในละตินอเมริกา ซึ่งจะรู้สึกได้เป็นอันดับแรกในภาคการเมืองและการทหาร

และเมื่อมีจีนเป็นหุ้นส่วน ประเทศเหล่านี้ก็อาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้เงาปีกของพญาอินทรีอย่างสหรัฐฯ อีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น