บลูมเบิร์ก – เอดส์กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจนน่าวิตกบนแดนมังกร โดยพบสตรีติดเชื้อมากขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ ขณะที่เชื้อลุกลามจากในกลุ่มผู้ใช้เข็มเสพยา แพร่ขยายไปยังประชาชนทั่วไปแล้ว
จากผลการศึกษาล่าสุดของคณะนักวิจัย ซึ่งนำโดยหลินฉี จาง ผู้อำนวยการบริหารและศาสตราจารย์ประจำศูนย์วิจัยเอดส์อย่างครอบคลุมของมหาวิทยาลัยTsinghuaในกรุงปักกิ่ง ซึ่งมีการพิมพ์เผยแพร่ในวารสารเนเช่อร์ (Nature)
การศึกษาระบุว่า ในเดือนตุลาคม 2550 มีประชากรทั่วประเทศจีนติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และป่วยโรคเอดส์ทั้งสิ้นราว 7 แสนคน แม้ยังเป็นการแพร่ระบาดในระดับต่ำ ไม่ถึงร้อยละ 1 ของจำนวนประชากร แต่ก็เป็นตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ8 จากในปี 2549
การแพร่ระบาดของเอดส์ในมณฑลหยุนหนัน
การศึกษาชิ้นนี้รายงานข้อมูลในมณฑลหยุนหนัน (ยูนาน) ซึ่งเป็นแหล่งแพร่ระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสเอดส์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยการแพร่ระบาดของเอดส์มีต้นตอมาจากการติดเชื้อจากการใช้เข็มฉีดยาของผู้เสพยาเสพติดที่นี่
การศึกษาระบุว่า มณฑลหยุนหนัน ซึ่งมีธรรมชาติสวยงาม จนได้ฉายาว่า แชงกรีล่าแห่งจีน เคยมีประวัติการค้าเฮโรอีน และฝิ่น โดยมีการลักลอบขนจากประเทศต่าง ๆ บนเขตสามเหลี่ยมทองคำ ผ่านเข้ามาในหยุนหนัน และมีการตรวจพบเชื้อไวรัสเอดส์ จากผู้ใช้เข็มเสพยาที่นี่เมื่อปี 2532
นักวิจัยได้วิเคราะห์ตัวอย่างเลือด 3 ล้าน 2 แสนตัวอย่างระหว่างปี 2532-2549 เพื่อหาอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในหมู่ประชากร 40 ล้านคนในมณฑลนี้ พบว่า มีการติดเชื้อเอชไอวี 48,951 ราย และพบผู้ป่วยเอดส์ 3,935 ราย
การศึกษายังพบว่า สัดส่วนของสตรีที่ติดเชื้อเอชไอวี พุ่งสูงถึงร้อยละ 35 ในปี2549 จากร้อยละ 7.1 ในปี2532 โดยมีการติดเชื้อในสตรีเพิ่มมากขึ้นกว่าในผู้ชาย หรือคิดเป็นสัดส่วน 1 ต่อ 1.9 ในปี2549 จาก 1 ต่อ 13 ในปี2532 และการติดเชื้อในหมู่พวกรักร่วมเพศชายนั้น พุ่งสูงถึง 8 เท่า
นอกจากนั้น การติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงในปี2549 พุ่งขึ้นในอัตราร้อยละ38 ของสาเหตุการติดเชื้อทุกประเภท
การติดเชื้อในชนกลุ่มน้อย
การศึกษายังระบุว่า ภายในปี 2549 ชาวจีนเชื้อสายฮั่น ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 60 ของการติดเชื้อทั้งหมด
นอกจากนั้น ระหว่างปี 2532-2538 ชนกลุ่มน้อยชาว ไต และจิงพอ เป็นพวกที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมากที่สุด
“การติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์มีอัตราส่วนที่สูงในขณะนี้” จาง ระบุ
“การแพร่ระบาดเริ่มเคลื่อนย้ายจากชาวนา,ชนกลุ่มน้อยในชนบท ไปสู่เขตที่อยู่อาศัยในเมืองของชาวฮั่นและเขตคนทำงาน”
คณะผู้วิจัยได้ขอให้รัฐบาลขยายโครงการรณรงค์ เช่น ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยในหมู่คนงานเพศหญิง , การฟื้นฟูบำบัดผู้ติดยา และการเปลี่ยนการใช้เข็มฉีดยา เพื่อชะลออัตราการติดเชื้อ นอกจากนั้น ควรให้การรักษาพยาบาลโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ผู้ติดเชื้ออีกด้วย
ท้ายที่สุด การศึกษาชิ้นนี้ได้สรุป โดยอ้างสุภาษิตจีนที่ว่า “เมื่อมีวิกฤต ก็ย่อมมีโอกาส” โดยแม้ว่า โรคเอดส์ได้หันเหการแพร่ระบาดจากกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงจากการใช้เข็มเสพยา มายังประชาชนทั่วไป แต่ยังคงมีช่องทางในการป้องกันการแพร่ระบาด และต้องลงมือทำกันในตอนนี้