ไชน่าเดลี่ - จากรายงานการลงทุนโลกปี 2008 ขององค์การที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) เมื่อวันพุธระบุว่า จีนยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงขาลง
รายงานของอังค์ถัดระบุว่า ในปีนี้ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกอาจชะลอตัวถึงร้อยละ 10 เพราะนักลงทุนรายใหญ่หลายรายต่างมีแผนที่จะลดการลงทุนลง อย่างไรก็ตาม ในปี 2007เอฟดีไอทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 หรือมูลค่า 1.833 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าจะเกิดวิกฤตทางการเงินระหว่างประเทศขึ้นกลางคัน และกระแสการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A)ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของเงินทุนไหลเข้าก็ลดลงถึงร้อยละ 29 เมื่อเทียบเป็นรายปี
อย่างไรก็ดี ในปี 2007 จีนมียอดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเป็นมูลค่าถึง 83,500 ล้านเหรียญฯ นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและมากเป็นอันดับ 6 ของโลก เดอะ เวิร์ลด์ อินเวสเมนท์ รีพอร์ท รายงาน
โดยตัวเลขการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของจีนพบในอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี และธุรกิจเพิ่มมูลค่า ซึ่งครึ่งหนึ่งของเงินลงทุนในปีที่แล้วไหลเข้าสู่ภาคบริการ นอกจากนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการลงทุนเผยว่าในปีนี้นักลงทุนต่างชาติจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,200 ราย จาก 700 รายในปี 2004
จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า การที่บรรษัทข้ามชาติหลายรายเบนเข็มจัดตั้งฐานการผลิตในจีนเป็นจำนวนมากเพราะมองว่าจีนเป็นแหล่งผลิตต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ยังสะท้อนด้วยว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ โดยอังค์ถัดรายงานว่า ปัจจุบันบราซิล รัสเซีย อินเดีย อเมริกา และจีนเป็น 5 เป้าหมายการลงทุนหลักของนักลงทุนทั่วโลก
“การที่จีนเป็นเป้าหมายการลงทุนอันดับต้นๆ เพราะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและมีการพัฒนาสภาพการลงทุนอย่างต่อเนื่อง” เหลียน กั๋วหย่งเจ้าหน้าที่กิจการเศรษฐกิจจากองค์การที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด)กล่าว
