รอยเตอร์ – จับตาไม่กะพริบ! ปักกิ่งเกมส์คราวนี้ จีนพร้อมกระชากตำแหน่งจ้าวเหรียญทองจากสหรัฐฯ ได้ทุกเวลา หลังจากมหาอำนาจด้านกีฬาอย่างมะกันหวุดหวิดเสียตำแหน่งจ้าวเหรียญทองไปแล้วครั้งหนึ่งที่เอเธนส์เกมส์เมื่อ 4 ปีก่อน
แม้การแข่งขันประเภทกรีฑาจะเป็นการประลองฝีมือ ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันระหว่างมังกรกับมะกัน และไมเคิล เฟลพ์ เครื่องจักรปั๊มเหรียญ จะเป็นด่านอรหันต์ในสระน้ำ
แต่ทีมชาติสหรัฐฯ ก็ได้ประจักษ์ข้อเท็จจริงบางอย่างมามากพอ ถึงขั้นทำให้นอนไม่หลับกันแล้ว
แค่ความจริงข้อเดียวก็ทำให้พอมองเห็นภาพได้ นั่นคือจีนมีประชากรถึง 1,300 ล้านคน เหนือกว่าสหรัฐฯ กว่า 4 เท่า
แน่ละ! จำนวนตัวเลขเพียงอย่างเดียวไม่อาจรับประกันความสำเร็จได้ เพราะถ้าเช่นนั้น อินเดียก็น่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ในโอลิมปิกเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น ฝ่ายสหรัฐฯ ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ
“คุณเริ่มทำคณิตศาสตร์ นี่แหละทำให้ผมต้องตาสว่างตอนกลางคืน” สตีฟ รูช หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการกีฬาของคณะกรรมการโอลิมปิกสหรัฐฯ พูดถึงการต่อสู้ด้านกีฬาครั้งใหม่ระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออก
สหรัฐฯ และอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งปัจจุบันแตกออกเป็นสาธารณรัฐต่าง ๆ หลังสิ้นสุดสงครามเย็น เคยผลัดกันเป็นจ้าวเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกทุกครั้ง นับตั้งแต่การแข่งขันหลังสงครามโลกที่กรุงลอนดอนในปี 1948
พอถึงปี 1996 และปี 2000 กองทัพนักกีฬามะกันก็ตีกองทัพนักกีฬาแดนหมีขาวแตกพ่ายบนตารางจัดอันดับเหรียญช่วงสุดท้าย
กระทั่งเอเธนส์เกมส์ การเปลี่ยนแปลงในเชิงภูมิศาสตร์การเมืองก็อุบัติขึ้น เมื่อจีนขึ้นแท่นชาติคว้าเหรียญทองมากที่สุดเป็นอันดับสองคือ 32 เหรียญ รองจากสหรัฐฯ ซึ่งได้ 36 เหรียญ
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2000 จีนครองเหรียญทองมาเป็นอันดับสาม ในปี 1996 และ1992 จีนอยู่ที่อันดับสี่
และถัดจากเอเธนส์เกมส์ต่อมาอีก 4 ปี พญามังกรก็ทุ่มงบประมาณไม่อั้น เพื่อทะยานสู่ยอดเขาโอลิมปัส
เหรียญโอลิมปิกเหรียญแรก
ชาติคอมมิวนิสต์จีนพัฒนาการกีฬาอย่างรวดเร็ว หลังจากพับม่านไม้ไผ่ หันมาคบค้าสมาคมกับนานาประเทศ และหันกลับมาเข้าร่วมกับกลุ่มโอลิมปิกในปี 1984
ก่อนหน้าเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสนั้น จีนไม่เคยชนะเลยสักเหรียญเดียว โดยสหภาพโซเวียตได้คว่ำบาตร การแข่งขันที่ลอสแองเจลิส ตอบโต้ที่สหรัฐฯ ไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมมอสโคว์เกมส์ เมื่อ 4 ปีก่อนหน้า
หลิว ฉางชุน ได้เขียนหมายเหตุไว้ในหนังสือรายงานประจำปีกีฬาโอลิมปิก เมื่อเขาร่วมเดินพาเหรดในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่นครลอสแองเจลิสในปี 1932 ในฐานะนักกีฬาคนเดียวจากแดนมังกร ซึ่งขณะนั้น มีประชากรทั้งสิ้น 400 ล้าน หลิวมาเป็นอันดับโหล่ในการลงวิ่งแข่ง 100 เมตร และ200 เมตรครั้งแรกบนสนามโอลิมปิกของเขา
อีก 52 ปีต่อมา จีนก็ก้าวมาไกลลิบ หลี่ หนิง นักยิมนาสติกชายสามารถสอยเหรียญมาเชยชมได้มากกว่านักยิมนาสติกคนใดในการแข่งขัน โดยห้อย 3 เหรียญทอง,2 เหรียญเงิน และ1เหรียญทองแดงกลับมาตุภูมิอย่างไม่รู้สึกเมื่อยคอ
นอกจากนั้น การแข่งขันยิงปืนสั้น สีว์ ไห่เฟิง เซลล์แมนขายปุ๋ย ก็สร้างเกียรติยศแก่ประเทศชาติด้วยการคว้าเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรกในการแข่งขันประเภทนี้ แถมเป็นเหรียญทองเสียด้วย
จวบจนถึงศึกโอลิมปิก ที่กรุงปักกิ่งเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ จีนมีกองทัพนักกีฬาโอลิมปิกใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาถึงราว 630 คน และหลายคนมีโอกาสก้าวขึ้นไปยืนบนตำแหน่งสูงสุดของแท่นรับรางวัล
เรายังจะได้เห็นเลือดรักชาติของชาวจีนพลุ่งพล่าน เมื่อระเบิดศึกแข่งขันปิงปอง, ดำน้ำ,ยิมนาสติก,ยิงปืน,ยกน้ำหนัก,แบดมินตั้น,กรรเชียงเรือ และเทกวนโด
โครงการ119
ระบบกีฬาของรัฐคือปัจจัยหลัก ที่ทำให้จีนผงาดขึ้นมาในยุทธจักรกีฬาระดับโลก เป็นโครงสร้างพีระมิด ที่นำเด็กเล็ก ๆ แค่ 6 ขวบมาฝึกฝนเคี่ยวกรำ เพื่อเป็นแชมป์ในอนาคตท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า สถานที่ฝึกซ้อมเหมือนโรงทหาร
ภายในนั้น มีโครงการที่เรียกว่า “โครงการ119” มันคือโครงการฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น ซึ่งเริ่มขึ้นในทันที หลังจากจีนได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิก เพื่อมุ่งเน้นประเภทกีฬา ที่นักกีฬาจีนยังไม่แข็งพอ โดยเวลานั้น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมีทั้งหมด 119 เหรียญ แต่ต่อมาเพิ่มจำนวนเหรียญเป็น 122 เหรียญ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จีนพยายามสงบปากสงบคำเรื่องความปรารถนาเป็นเลิศในปักกิ่งเกมส์
จาง ไห่เฟิง โฆษกคณะกรรมการโอลิมปิกจีนแถลงข่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า จีนตั้งเป้าคว้าเหรียญทองไม่ต่ำกว่า 32 เหรียญ แต่ความเห็นของจางถูกตีกลับ
“คณะกรรมการโอลิมปิกจีนไม่เคยคาดทำนายเกี่ยวกับการคว้าเหรียญ” แถลงการณ์ระบุ
ทว่าคนภายนอกทนสงบปากสงบคำไม่ไหว
“ทีมชาติสหรัฐฯจะถูกกดดันอย่างหนักในการรักษาความเป็นจ้าวเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่ง” เคิร์ต ฮามากาวา อดีตคณะกรรมการโอลิมปิกของสหรัฐฯ ระบุ ปัจจุบัน เขาเป็นประธานศูนย์เพื่อธุรกิจกีฬาระหว่างประเทศของเวสเทิร์น นิว อิงแลนด์ คอลเลจ
“ถ้ามองดูความคืบหน้าเรื่องเหรียญทองตั้งแต่ปี1996 มา( 16 เหรียญในปี1996,28 เหรียญในปี 2000 และ 32 เหรียญในปี2004) จะเห็นชัดเจนว่าจีนอยู่ในตำแหน่งที่สามารถแซงหน้าทีมชาติสหรัฐฯ ในปี2008”
“และยิ่งฟังดูมีเหตุผลมากทีเดียว หากเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ที่ได้เหรียญทองถดถอยลงในช่วงเดียวกัน (44 เหรียญในปี’96, 38 เหรียญในปี’00 และ 36 เหรียญในปี’04)